fbpx

อิสตันบูล : เสน่ห์แห่งการผสมผสานของโลกตะวันออกและตะวันตก

“ในปี 2557 รายงาน TripAdvisor’s Travelers’ Choice Destinations 2014 จัดให้นครอิสตันบูลเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลกแทนที่กรุงปารีส ปรับขึ้นจากอันดับที่ 12 ในปี 2556”

หลายๆ คนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่า อิสตันบูลเป็นเหมืองหลวงของประเทศตุรกี แต่จริงๆแล้วเมืองหลวงของประเทศตุรกี คือ กรุงอังการา ส่วน อิสตันบูล เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกี และที่พิเศษมากไปกว่านั้นคือ อิสตันบูลเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่ทั้ง 2 ทวีป เอเชีย และ ยุโรป โดยถูกแบ่งพื้นที่ออกจากกันด้วยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลที่คั่นระหว่าง 2 ทวีป คือ ทะเลมาร์มาร่า

ถ้าย้อนกลับไปในอดีตกาล อิสตันบูลถือว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่และยาวนาน และถูกเปลี่ยนชื่อเมืองมาถึง 3 ชื่อ  คือเริ่มด้วย Byzantium เปลี่ยนมาเป็น Constantinople (หรือ New Rome) และชื่อสุดท้าย Islambul และถูกผันเสียงมาจนเป็นชื่อ อิสตันบูล จนถึงปัจจุบันนี้

ศูนย์กลางของนครอิสตันบูลจะอยู่ในบริเวณ สุลต่านอะห์เม็ต (Sultanahmet) ซึ่งเป็นเมืองเก่า (Old City)  เป็นที่ตั้งของพระราชวัง โบสถ์คริสต์  มัสยิดอิสลาม โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ อาคารแบบออตโตมันและแบบยุโรป ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศของวัฒนธรรมที่หลากหลายของอารยธรรมไบแซนไทน์ และออตโตมัน

ความมีเสน่ห์และไม่เหมือนใครของเมืองนี้ น่าจะเป็นความผสมผสานกันที่ลงตัวสุดๆของหลายๆอย่าง  เป็นเมืองที่ “East meets West” ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นเมืองที่ผสมผสานความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม (กรีก โรมัน ออตโตมัน)  ศาสนา (คริสต์และอิสลาม)และเป็นเมืองที่ผสมผสานอย่างกลมกลืนระหว่าง ความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์และความทันสมัย รวมถึงอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ และผู้คนที่อัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกอย่างแท้จริง

img_8924

img_8940

 

เมื่อเราเดินทางมาถึงอิสตันบูลกัน ก็ไม่รอช้า พร้อมวางแผนตะลุยจุดสำคัญต่างๆในเมืองนี้ทันที โดยเราจะเริ่มต้นการสำรวจเมืองนี้จาก Taksim square

ใจกลางจัตุรัสแห่งนี้มีอนุสาวรีย์แห่งการประกาศอิสรภาพและการรวมชาติของอตาเติร์ก ผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียน ปิแอโตร คาโนนิคา บริเวณรอบจัตุรัสเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่คึกคักเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้ง shop brand name ร้านอาหาร cafe ร้านขนม ร้านของฝาก เป็นที่นิยมของคนตุรกีและชาวต่างชาติมีรถรางแล่นเป็นแนวขนานกับรถตลอดสาย (Tram) โชคดีที่เราจองที่พักในย่านนี้พอดี ทำให้ 3 วันในตุรกีของเราต้องมาจบลงที่นี่ทุกวัน

นอกจากนี้ยังมีศูนย์วัฒนธรรมจัดแสดงคอนเสิร์ตต่างๆโดยเฉพาะในหน้าร้อน รวมทั้งสถานบันเทิงยามค่ำคืนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ใครที่อยากเห็นว่าคนที่นี่เค้า hang out กันประมาณไหน ก็สามารถมาสำรวจที่นี่ได้

เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆจะถึงย่าน Karakoy เราขอเรียกของเราเองว่าเป็น Art Street โดยส่วนตัว ชอบถนนเส้นนี้มาก เป็นย่านที่วุ่นวายน้อยกว่าTaksim และร้านค้าข้างทางมี Design ส่วนใหญ่จะเป็น shop ที่ขายเครื่องดนตรี แผ่นเสียง และมี shop ของฝากแนว art&design มากมาย ซึ่งในบริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของหอคอยกาลาตา (Kalata Tower) ว่ากันว่าหอคอยแห่งนี้สร้างมาตั้งแค่ปี ค.ศ. 500 เพื่อใช้เป็นประภาคาร แต่ถูกไฟหม้หลายครั้ง สุลต่านเซลิมที่ 2 ทรงได้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ และในปี ค.ศ. 1348 สมัยสุลต่านสุไลมาน ได้ใช้หอคอยนี้เป็นที่คุมขังนักโทษ ด้วยความสูงถึง 62 เมตร หอคอยนี้จึงเหมาะกับการที่ชมวิวรอบเมืองอย่างยิ่ง ปัจจุบันหอคอยนี้ทำเป็นภัตราคารและไนท์คลับยามราตรีที่มีการแสดงระบำหน้าท้อง ใคร่จะชมทัศนียภาพของอิสตันบูลจากมุมสูง หรือใคร่จะนั่งทานอาหารไปชมวิวไป ก็น่าประทับใจไม่ใช่น้อยหน้ากัน

img_8988

img_8992

 

เดินมาเรื่อยๆ เลยหอคอยกาลาตาไปอีกนิด ด้านหน้าเราจะพบ Kalata Bridge เป็นย่านที่มีผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมาย เพราะจะเป็นท่าเรือที่ให้บริการเรือแล่นผ่านช่องแคบบอสฟอรัส
กิจกรรมที่เราเห็นกันจนชินตาระหว่างเดินข้ามสะพานกาลาตาคือ ผู้คนมานั่งตกปลามากมาย มากจนสงสัยว่า มีปลาเยอะขนาดนั้นจริงๆเหรอ แต่เมื่อข้ามสะพานมา เราถึงกับหายสงสัย เพราะข้างๆฝั่งทะเลสาบ จะมีแพที่เป็นครัวสำหรับประกอบอาหารที่ทำจากปลาที่ตกได้จากทะเลสาบมามาร่าเต็มไปหมด แน่นอน เรามาถึงที่แล้ว ก็ไม่พลาดที่จะลิ้มรสแซนวิชปลาแสนอร่อย

 

นอกเหนือจากนี้สถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอิสตันบูล ขอสรุปสถานที่สำคัญๆให้ ดังนี้ค่ะ

1- เยือนย่านสุลต่านอะห์เม็ต (ย่านเมืองเก่า) ซึ่งมีโบราณสถาน พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ โบสถ์ มัสยิด ฯลฯ เดินเล่นชมเมืองตามอัธยาศัย รับรองว่าเพลิดเพลินเป็นที่สุด

2- วิหารฮาเกีย โซเฟีย (Hagia Sophia Church and Museum)

img_9147

img_9158

หรือวิหารเซนต์โซเฟีย ถือว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เป็นโบสถ์คาทอลิก มีหลังคาเป็นยอดกลม เสาในโบสถ์เป็นหินอ่อน ภายในติดกระจกสี เมื่อเติร์กเข้าครองเมืองได้เปลี่ยนโบสถ์นี่ให้เป็นสุเหร่าในปี ค.ศ. 1453 ภายหลังทางการได้ตกลงให้วิหารเซนต์โซเฟียหรือสุเหร่าฮาเกียเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยทุกวันนี้ยังคงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะโดมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และมีพื้นที่โล่งภายในใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยการใช้ผนังเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคารลงสู่พื้นแทนการใช้เสาค้ำยันทั่วไป นับเป็นเทคนิคการก่อสร้าง ที่ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น (ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฮาเกียโซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง) ยิ่งทราบถึงความสุดยอดเหล่านี้แล้ว ใครที่ได้มาอิสตันบูลคงไม่อยากพลาดการมาเยือนที่นี่แน่นอน

3- มัสยิดสีฟ้า (Sultanahmet Mosque หรือ Blue Mosque)

img_9133

มัสยิดสุลต่านอาห์เม็ดหรือสุเหร่าสีน้ำเงิน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1609 – 1616 มีแรงบันดาลใจการสร้างมาจากการต้องการเอาชนะหรือสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียของคริสต์ ทำให้สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์ต้องการสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ให้เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียมาแทบทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ จนมาถึงในสมัยสุลต่านอาห์เมตที่ 1 เมห์เมต อาอา (Mehmet ) สถาปนิกผู้สร้างสรรค์มัสยิดแห่งนี้ ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าเขามีความสามารถเหนืออาจารย์และสถาปนิกที่ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย จึงบรรจงออกแบบจนอลังการ เหตุที่ผู้คนเรียกมัสยิดสุลต่านอาห์เมตที่ 1 (Sultan Ahmet I) ว่า Blue Mosque จนกลายเป็นชื่อจริงไปแล้วนั้น เนื่องมาจากสีของกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในที่มีสีฟ้าสดใส ลายดอกไม้ต่างๆ เช่น กุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น ฯลฯ นั่นเอง โดยให้ตัวมัสยิดหันหน้าเข้าหาวิหารเซนต์โซเฟีย เป็นการประชันความงามกันอยู่คนละฟากฝั่งของจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต ที่ซึ่งในฤดูร้อนจะมีงานแสดงแสงสีที่งดงามยามค่ำคืน

4- พระราชวังทอปคาปี (Topkapi Palace)

พระราชวังทอปกาปิ ในอดีตเป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งราชวงศ์ออตโตมันหลายพระองค์ ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปี กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ. 1924 เปิดทำการทุกวัน เวลา 09.00-19.00 น. ยกเว้นวังอังคาร รอบๆพระราชวังจะมีสวนขนาดใหญ่ เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปเดินเล่น ปิคนิค หรือจะนั่งร้านอาหาร ทานอาหาร จิบชา ชมวิวทะเลสาบจากมุมสูงให้เพลินตาสบายใจ

5- ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar)

เป็นแหล่ง Shopping ในบรรยากาศและไสตล์เตอร์กิชอันยอดนิยมที่โด่งดังที่สุดในตุรกี เป็นตลาดเก่าแก่กว่า 1,500 ปี มีร้านค้ากว่า 4,000 ร้าน และมีสินค้าหลากชนิด หลายคุณภาพ จึงมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะมาจับจ่ายที่นี่ว่า ต้องอยู่ในอารมณ์ที่ดี เพราะต้องเผชิญกับพ่อค้าที่จะขยันเข้ามาเชิญชวนจนอาจทำให้รำคาญ และต้องมีเวลามากพอเผื่อเดินสำรวจเพื่อเปรียบเทียบราคา ต่อรองราคาให้มากเข้าไว้ และต้องรู้ว่ากระเป๋าเดินทางของคุณมีที่ว่างมากน้อยแค่ไหน และน้ำหนักจะเกินหรือไม่ เพราะเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วยากที่จะกลับออกไปมือเปล่า หากซื้อของที่ตลาดนี้ เวลาต่อราคา ต้องต่ออย่างน้อย 50-70% เพราะพวกเค้าจะตั้งราคาไว้แพงมาก
เรื่องสุดท้าย ทีเด็ด ที่ไม่ลองอาจเรียกว่ามาไม่ถึงตุรกี นั่นคือชาตุรกี และขนมหวานที่ทานคู่กัน ที่เรียกว่า Turkish delight คงไม่มีขนมหวานชนิดไหนเลื่องชื่อเท่าขนมชนิดนี้ของตุรกีอีกแล้ว รู้จัก ไปทั่วโลก

img_8877

Turkish Delight หรือที่เรียกภาษาตุรกีว่า “โลคุม” ซึ่งมีรูปร่างคล้ายลูกเต๋าคลุกอยู่ในแป้งสีขาว เนื้อของขนมลักษณะเหนียวใส มีรสหวานจัด มักนิยมรับประทานกับชาหรือกาแฟ

ส่วนชาอันดับหนึ่งที่คนตุรกีนิยมดื่มกันคือ ชาตุรกีหรือชาดำที่น้ำชามีสีออกแดงเข้ม กลิ่นหอม รสชาติออกแนวชาจีนแต่เข้มกว่า รสจะขมตอนแรกแต่หวานติดปลายลิ้นตอนหลัง ส่วนชาอันดับสองคือชาแอ๊บเปิ้ล รสกลมกล่อม ชาพื้นเมือง ซึ่งเวลาชงชาวชาวเตอร์กิชจะชงใส่แก้วทรงดอกทิวลิปใบเล็ก และยังมีศิลปะการชงชาที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย โดยจะชงชาด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ซาโมวาร์” (Samovar) เป็นกาชงชาพิเศษทรงสวย ด้านบนเป็นที่ใส่น้ำชาและใบชา ด้านล่างเป็นที่ใส่ถ่านทำความร้อน

เต็มอิ่มกับทุกซอกทุกมุมในอิสตันบูลและตุรกี ถือว่าเป็นทริปที่เราประทับใจกันมาก และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องอำลาประเทศนี้ เดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ แต่เรามั่นใจว่าทุกๆความประทับใจในทริปนี้จะยังคงอยู่ในความทรงจำของเรา หากใครมาถามว่าประเทศนี้น่ามาเที่ยวมั้ย คำตอบที่คุณจะได้กลับไปคือ จองตั๋วเลยค่ะ….

ความเดิมตอนที่แล้ว แบกเป้เที่ยวตุรกี เหตุเกิดจากตั๋วเครื่องบินราคาถูก

img_9204

img_9249

img_9414

 

เรื่องโดย : ZanMare ( a.sumarmarn@yahoo.com )
หมายเหตุ : ขอขอบคุณข้อมูลจาก Wikipedia

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดอย่างไร ?

About author View all posts Author website

Halal Life

Halal Life สื่อออนไลน์ที่นำเสนอแนวคิด และองค์ความรู้ที่ฮาลาล ผ่านเรื่องราว ผ่านมุมมอง และผ่านประสบการณ์ของหลากหลายผู้คน เพื่อเชื่อมโยงผู้คนที่ใช้ชีวิตในแบบฮาลาลเข้าไว้ด้วยกัน