Save Anwar
ผู้ปลดเงื่อนไขความรุนแรง
มูฮำหมัด ดือราแม
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้(DSJ)
อันวาร์ หะยีเต๊ะ ผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร หรือที่รู้จักกันในวงการนักกิจกรรมชายแดนใต้ว่า อันวาร์ บูหงารายา ผู้จุดประกายการผลิตสื่อภาษามลายูในชายแดนใต้ สู่การลดเงื่อนไขความรุนแรงทางด้านอัตลักษณ์ ท่ามกลางกระแส Save Anwar ที่ยังกระจายไปได้อีก
คำพิพากษาอันวาร์
ข่าวคำพิพากษาฎีกาให้จำคุกนายมูฮาหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ อดีตคนทำงานสื่อทางเลือกในพื้นที่ชายแดนใต้ ถึง 12 ปี ในข้อหาเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง หลายคนรู้จักนายมูฮาหมัดอัณวัรว่า อันวาร์ บูหงารายา หรือหากมีการพูดถึงอันวาร์ คนก็จะนึกถึงบูหงารายา หรือหากพูดถึงบูหงารายา คนก็จะนึกถึงอันวาร์
ทว่าในความเป็นจริงแล้วอันวาร์ ไม่ได้มีบทบาทเพียงการทำสื่อทางเลือกอิสระในนามสำนักสื่อบูหงารายาเท่านั้น แต่ทุกคนหรือทุกองค์กรที่เขาไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย แม้เพียงเวลาสั้นๆ กลับจุดประกายให้คนอื่นได้ทำงานต่อไปได้อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะงานด้านสื่อสันติภาพและสื่อภาษามลายู อันเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของคนมลายูมุสลิมปาตานี
นับเป็นบทบาทสำคัญในระยะเวลาเพียง 3 – 4 ปีที่เขาโลดแล่นอยู่ในวงการสื่อประชาสังคมในพื้นที่ หรือหลังจากได้รับการปล่อยตัวเมื่ออุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2552 แต่อันวาร์ก็ถูกจำคุกไปแล้วเป็นเวลา 1 ปีเศษ เพราะศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกในคดีเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2550 เป็นเวลา 12 ปี
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา เป็นวันที่อิสรภาพของเขาต้องสิ้นสุดลงอีกครั้ง เมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ด้วยข้อหาการเป็นสมาชิกขบวนการกู้ชาติปัตตานี หรือ ขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต เป็นอั้งยี่และกบฏเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักรไทย ฯลฯ
อันวาร์ กับสำนักสื่อบูหงารายา
ทวีศักดิ์ ปิ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของอันวาร์ ปัจจุบันเป็นคณะกรรมการวิทยาลัยประชาชน ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นคนหนึ่งที่สามารถบอกเล่าถึงบทบาทของอันวาร์ในบทบาทงานด้านสื่อประชาสังคมในพื้นที่ได้ โดยเฉพาะบทบาทในช่วงของการเป็นบรรณาธิการสำนักสื่อบุหงารายา หรือ Bungaraya
ทวีศักดิ์ เล่าว่า อันวาร์ เป็นคนหนึ่งที่คิดทำเรื่องทางเลือกขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้คนแรกๆ แต่สำนักสื่อบุหงารายา ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 เป็นการรวมตัวของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างสื่อทางเลือกในการรายงานข่าวและความคืบหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพื่อให้คนในพื้นที่มีกระบอกเสียงเป็นของตนเองในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยไม่บิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริง และไม่ใช่การรายงานจากแหล่งข่าวศูนย์กลางของรัฐไทยเท่านั้น
ต่อมาในปี 2552 อันวาร์ได้เริ่มเข้ามาร่วมงานกับสำนักสื่อบุหงารายาในฐานะบรรณาธิการ โดยได้รับการแต่งตั้งจากสมาชิกในองค์กร ด้วยเหตุผลที่ว่า อันวาร์มีทักษะในการเขียนข่าวและบทความ อันเป็นความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าร่วมโครงการของสำนักข่าวเนชั่น (Nation)
อีกเหตุผลหนึ่งคือ เพราะอันวาร์มีเวลาว่างมากกว่าสมาชิกคนอื่นๆที่เป็นนักศึกษา โดยอันวาร์เข้ามาทำหน้าที่ตรวจชิ้นงานของสมาชิกที่ส่งมาให้ ทั้งที่เป็นบทความหรือข่าว ก่อนที่จะอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์ของสำนักสื่อบูหงารายา BungarayaNews ในการเผยแพร่ข้อมูลตั้งแต่แรก
ต่อมาอันวาร์และสมาชิกได้ร่วมคิดค้นหาวิธีการเผยแพร่ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยช่องทางวิทยุของสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันสลาตัน(Media Selatan) และสถานีวิทยุองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) จังหวัดปัตตานี ในรูปแบบของการร่วมจัดรายการ มีการทำหนังสือบุหงารายาบุ๊ก (Bungaraya Book) และจดหมายข่าวบุหงารายอนิวส์ (Bungaraya News) ขึ้นมา
อันวาร์เป็นคนที่มีความฝันแนวแน่ที่จะทำสื่อทางเลือกในพื้นที่ ด้วยความรัก ความชอบของเขา เขาจึงมีความพยายามอย่างมากในการสร้างสื่อให้เกิดขึ้นจริง เป็นสมาชิกคนหนึ่งที่คิดค้นวิธีการต่างๆในการเผยแพร่ข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ หนังสือ จดหมายข่าว เป็นต้น เพื่อช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนในพื้นที่ตามข้อเท็จจริง
แต่ในปี 2554 สื่อทางเลือกในพื้นที่ได้เกิดขึ้นอย่างมากมายและรวดเร็ว อันวาร์จึงได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบในการนำเสนอด้วยการเน้นไปทางการการทำโครงการด้านการศึกษาทางเลือก เช่น มีการอบรมการเรียนรู้เรื่องสิทธิต่างๆในพื้นที่ เรื่องสันติภาพ เรื่องเยาวชน เรื่องตาดีกา เป็นต้น ซึ่งทำให้อันวาร์กลายเป็นนักกิจกรรมไปในตัวด้วย เพราะต้องเป็นวิทยากรในกิจกรรมต่างๆ แต่ก็ทำในนามของสำนักสื่อบุหงารายาตลอดเวลา
“ที่ผ่านมา สำนักสื่อบูหงารายาเคยทำงานร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรมในการจัดโครงการ พัฒนาเยาวชนในพื้นที่ เช่น การอบรมการเขียนข่าว การเขียนบทความ อบรมเรื่องสิทธิมนุษยชนและกิจกรรมด้านสันติภาพ
ต่อมา อันวาร์ได้ร่วมกับกลุ่มที่มีชื่อว่า เครือข่ายเยาวชนกับการสร้างสันติภาพที่ร่วมกับกลุ่มมะขามป้อม จังหวัดเชียงใหม่จัดโครงการฟอรั่มในพื้นที่ต่างๆ ทั้งที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี อำเภอรือเสาะ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น และได้ร่วมเป็นทีมงานเครือข่ายเยาวชนเพื่อการพัฒนาสู่อาเซียน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI)
ด้วยวิธีการทำงานของเขาที่มีหลากหลายรูปแบบ และได้ร่วมงานกับทีมงานต่างๆ มากมาย แต่ยังใช้ใช้ชื่อของสำนักสื่อบูหงารายา จนทำให้อันวาร์ได้รับฉายาว่า อันวาร์บุหงารายา ซึ่งเมื่อเอ่ยถึงชื่ออันวาร์คนก็จะนึกถึงบูหงารายา แต่ถ้าเอ่ยถึงบูหงารายา คนก็จะนึกถึงอันวาร์ ซึ่งทุกคนที่ทำงานในภาคประชาสังคมในพื้นที่ รวมทั้งคนทั่วไปส่วนใหญ่ล้วนจะรู้จักดี
ในอีกด้านหนึ่งของอันวาร์ เป็นคนที่เห็นความสำคัญของภาษามลายู จึงได้เริ่มและเน้นการใช้ตัวอักษรยาวีในการเขียนงานเพื่อเป็นการอนุรักษ์ภาษามลายูในพื้นที่ด้วย เนื่องจากภาษามลายูที่ใช้อักษรยาวีเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของคนในพื้นที่ ในขณะที่สังคมมลายูส่วนใหญ่ทั้งในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียจะใช้อักษรรูมี
อันวาร์เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถในการออกแบบมาก เขาพยายามใช้ตัวอักษรยาวีในการเขียนงานภาษามลายูในงานต่างๆ ทั้งการออกแบบป้ายประชาสัมพันธ์ต่างๆ การเขียนนิตยสาร เอกสารต่างๆ เพราะถือว่าเป็นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ภาษามลายูต่อไปในอนาคตต่อไปด้วย
ผู้จุดประกายผลิตสื่อภาษามลายู
ขณะที่ “รอมละห์ แซแยะ” ภรรยาของอันวาร์ ก็เป็นอีกคนที่รับรู้และเห็นถึงบทบาทของเขาในงานภาคประชาสังคม และมองเห็นถึงแรงบันดานใจที่ต่อมากลายเป็นการจุดประกายให้หลายคนได้สานต่อจนถึงปัจจุบัน
รอมละห์ เล่าว่าอันวาร์เริ่มเข้าทำงานในภาคประชาสังคมในปี 2552 ช่วงหลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง แต่ก็เลือกที่จะไม่ไปเรียนต่ออีกหลังถูกจับขณะเรียนอยู่ปี 2 ในคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
ต่อมาปี 2553 อันวาร์ได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนสันติภาพ หรือ School of Peace ที่ประเทศอินเดีย ประกอบกับเริ่มทำกิจกรรมเล็กๆ อีกหลายกิจกรรม โดยเฉพาะการทำสื่อสันติภาพกับองค์กรในมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นจุดแรกเริ่มที่อันวาร์ได้ทำงานสื่อสันติภาพอย่างจริงจัง ในช่วงนั้นเองที่รอมละห์ได้รู้จักกับอันวาร์
ในช่วงอันวาร์เริ่มจัดฝึกอบรมข่าวเล็กๆ อันวาร์เองก็ได้เข้าฝึกอบรมข่าวที่โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ด้วย นับเป็นรุ่นแรกๆ ของโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ โดยอันวาร์เริ่มพูดคุยถึงแนวคิดที่จะผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ภาษามลายูขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
จนกระทั่งโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ จะจัดโครงการค่ายฝึกอบรมข่าวนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงเดือนเมษายน 2555 อันวาร์ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนและเริ่มเดินสายไปยังโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือโรงเรียนปอเนาะในพื้นที่ แม้กระทั่งทีมพี่เลี้ยงค่ายส่วนใหญ่ก็มาจากฝ่ายการศึกษาของสำนักสื่อบูหงารายา ซึ่งโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติเพื่อผลิตนักข่าวและสื่อภาษามลายูในพื้นที่ชื่อ “ซินารัน” ในช่วงปลายปีเดียวกัน
ในช่วงของการทำหนังสือบุหงารายาบุ๊ก ได้ตั้งเป็นสำนักพิมพ์เพื่อผลิตสื่อส่งพิมพ์ซึ่งเป็นสื่อการเรียนการสอน 3 ภาษา คือ ภาษามลายู ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ โดยมีผลงานที่ตีพิมพ์ออกมาแล้ว เช่น เป็นหนังสือการ์ตูน 3 ภาษา ต่อมาหลังจากอันวาร์ได้ถอนตัวไปคนที่เหลือได้ตั้งเป็นกลุ่ม AWAN BOOK และดำเนินการรณรงค์เรื่องการใช้สื่อภาษามลายูและผลิตสื่อ 3 ภาษาต่อไป
รอมละห์ เล่าว่า อันวาร์ชอบทำงานสื่ออิสระที่สามารถเป็นกระบอกเสียงให้ชาวบ้านได้ อันวาร์มักบอกว่า ความเป็นมลายูมุสลิมปาตานีมีความสวยงามอยู่หลายอบ่างที่จะต้องนำเสนอออกมา “โดยเฉพาะภาษามลายู ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของเรา แต่เราลืมไปแล้ว แต่เราก็ไม่มีสื่อภาษามลายูมากนัก ที่จะทำให้คนได้อ่านและพูดภาษามลายูได้”
สำหรับสำนักสื่อบูหงารายา ไม่เพียงเป็นสื่ออิสระเท่านั้น แต่มีคุณค่าทางความรู้สึก แม้ว่าอันวาร์ไม่ใช่คนที่ก่อตั้งสำนักสื่อนี้ แต่อันวาร์ชอบชื่อนี้ เพราะคำว่า บูหงารายา แปลว่าดอกชบา เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของพื้นที่
ซึ่งรอมละห์ บอกว่า อันวาร์กลายเป็นขวัญใจหรือไอดอลของรุ่นน้องๆ ในพื้นที่หลายคน โดยพยายามเดินตามรอยและผลงานของอันวาร์เองก็มีคนนำมาฉายซ้ำมากขึ้น
ความหมายของสันติภาพ
แม้สถานะอันวาร์ในปัจจุบันคือ ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงต่อรัฐ ทว่ารอมละห์ก็ย้ำว่า “บทบาทของอันวาร์ในช่วงที่ผ่านมาเป็นภาพที่ชัดเจนถึงการต่อสู้ด้วยปากกาและตัวอักษร โดยเชื่อว่านั่นเป็นการสู้เพื่อสันติภาพ คนที่รู้จักอันวาร์จึงพยายามช่วยเขาทุกวิถีทางที่เชื่อว่าจะมีผล”
สิ่งที่กล่าวมานั้น อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เชื่อว่าหากลองค้นหาชื่อของเขาในอินเตอร์เน็ตไม่ว่าด้วยภาษาไทยหรือภาษามลายู ก็อาจจะพบผลงานของเขาอีกหลายชิ้น ทั้งที่เป็นงานเขียนและภาพเคลื่อนไหวในชื่อและหัวข้อต่างๆ โดยเฉพาะผลงานเกี่ยวกับภาษามลายู ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการปลุกกระแสการรื้อฟื้นภาษามลายูเพื่อการสื่อสารขึ้นในพื้นที่ จนสามารถกล่าวได้ว่า ปัจจุบันภาษาไม่ได้เป็นเงื่อนไขของความรุนแรงในพื้นที่อีกต่อไปแล้ว อันเนื่องมาจากมีการยอมรับและส่งเสริมสนับสนุนภาษามลายูในระดับนโยบายของรัฐไทยแล้ว
จึงไม่น่าแปลกใจที่กระแส “Save Anwar” หรือ “Free Anwar” จะกระจายไปได้อีก อย่างที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ หากแต่การขับเคลื่อนเรื่องของเขาภายในพื้นที่ ยังอาจไม่ร้อนแรงมากนัก ด้วยเกรงว่าอาจมีผลกระทบศาลสถิตยุติธรรม และผู้ต้องขังคดีความมั่นคงก็หาได้มีอันวาร์เพียงคนเดียว