ผมยอมรับในความเก่งกาจอย่างหนึ่งของอารยธรรมสมัยใหม่ นั่นคือการทำให้ความรู้ต่อความจริงของชีวิตที่ถูกประทานในแบบที่เรียกว่า revelation หรือวิวรณ์ ซึ่งเป็นการเปิดเผยจากผู้สร้าง กลายเป็นอะไรที่เชยๆ คร่ำครึ ที่ดูไม่ฉลาดเอาเลย ขณะที่ความคิดอันแหลมคมของนักคิดนักปราชญ์ทั้งหลายกลับดูน่าชื่นชมกว่า ดูก้าวหน้าและชาญฉลาดกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้
ผมไม่โทษทีเดียวว่า การคิดแบบนี้ขาดเหตุผล เพราะว่าตัวชุดความรู้แบบ revelation หรือวิวรณ์นั้นมันมีหลายชุด น่าสงสัยไปหมด แถมยังง่ายที่คนจะคลั่งไคล้อย่างขาดเหตุผล อันเนื่องมันต่างก็อ้างมาจากพระเจ้ากันทั้งนั้น … แต่ก็นั่นแหละสำหรับผมแล้วโดยฐานการคิดของ revelation นั่นสูงกว่าฐานการคิดของมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ได้เลย เหตุผลเรื่องนี้ก็คือ การตอบคำถามต่อชีวิตนั้นมันไม่มีทางเลยที่การคิดของมนุษย์จะสามารถตอบได้ มันเหมือนการเอาสิ่งของที่หนักพันกิโลให้นักแบกน้ำหนักแชมป์โลกแบก ยังไงก็ทำไม่ได้อยู่ดี … ธรรมชาติปัญหาของชีวิตคืออะไรมันยิ่งกว่านั้นเสียอีก !
นี่เป็นปัญหาที่ต้องถกกันก่อนในระดับญาณวิทยาก่อนจะก้าวไปตอบว่าสัจธรรมคืออะไร? … คือแหล่งที่จะประกันความถูกต้องของคำตอบต่อสัจธรรมมันควรจะเป็นเช่นไรกัน? จริงๆ ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ก็ทำได้แค่ 2 ทางเลือกนี้เท่านั้น คือไม่รับความจริงจากวิวรณ์(revelation) ก็ต้องรับความคิดจากมนุษย์ด้วยกัน จะเป็นมนุษย์ที่เป็นคนๆ หรือเป็นกลุ่มๆ เป็นสำนักก็ตาม
ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ ผมเห็นว่าไม่มีชุดความคิดที่ทรงอิทธิพลเท่ากับ revelation ที่มีอิทธิพลต่ออารยธรรมระดับลึกของมนุษย์ ผ่านผู้นำประกาศชุดความคิดนี้อย่างที่เราเรียกว่า ศาสดา หรือศาสนทูต … นักคิดที่ยิ่งใหญ่ นักปรัชญาชั้นแนวหน้าทั้งหลาย ก็ไม่มีใครที่แสดงอิทธิพลที่ลงลึงในชีวิตจิตวิญญาณของผู้คนได้เท่า
กลับมาที่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก … ที่ผมสังเกตุเห็นคือ การขาดความภูมิใจในการอ้างตัวเองกับวิวรณ์ แต่มีความภาคภูมิใจอย่างรู้สึกเท่กับการอ้างนักคิดดังๆ ทั้งนักคิดตะวันตกหรือตะวันออก หรือแม้แต่นักคิดในเมืองไทย … จริงๆ ผมเป็นคนที่นิยมอ่านหนังสือของนักคิดต่างๆ แต่ไหนแต่ไร และก็ยังอ่านอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่เพื่อจับผิด แต่ทำให้ผมเห็นมุมมองอะไรหลายอย่างมากมายที่เป็นประโยชน์ แต่ผมไม่เคยคิดและไม่เคยพบว่า ความคิดของพวกเขาจะก้าวมาแทนสิ่งที่เรียกว่าวิวรณ์หรือวะหยุ ได้เลย
ว่าไปแล้ว เรื่องนี้น่าจะเป็นความผิดอันฉกาจของคนที่อยู่ในแวดวงของวะหยุฯเอง โดยเฉพาะมุสลิมที่ชำนาญเรื่องคัมภีร์ ที่ไม่สามารถทำให้เนื้อหาของวิวรณ์แสดงความยิ่งใหญ่ออกมาได้มากไปกว่าการท่องจำตัวบทที่น่าทึ่ง … ความจริงแล้วตัววิวรณ์ของอิสลามมีความเด่นที่สุดคือการที่ไม่ถูกบิดเบือน ยังคงอยู่ในสภาพที่ถูกรักษาไว้ตลอดพันกว่าปีที่ผ่านมา เพียงแต่ขาดสิ่งที่เรียกว่า “ตัฟซีร” หรือการอธิบายความของมันให้เข้ากับชีวิตในแง่มุมต่างๆ โดยที่ยังสามารถรักษาทิศทางเดิมที่ถูกต้อง พร้อมกับการที่มันสามารถอธิบายปรากฏการณ์ยุคใหม่ได้
บางทีผมก็คิดว่า วิกฤติที่สำคัญที่สุดคือวิกฤติเรื่องวิวรณ์นี้แหละ คือการที่คนหนุ่มสาวยุคใหม่ไม่ได้ปฏิเสธวิวรณ์แต่มองไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของมัน จนสูญเสียความภาคภูมิใจและความมั่นใจที่จะอ้างอิงมันด้วยการตัฟซีรต่อชีวิตของเขา
สำหรับผม วิวรณ์ที่ผ่านมายังท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตมนุษย์ เพราะมันทำให้มนุษย์ไม่ได้เป็นอะไรที่ล่องลอยไร้ความหมาย … ขณะเดียวกันมันมีความพิเศษอยู่ตรงการตัฟซีรความหมายของมันออกมา ตรงนี้แหละที่ผมว่าเป็นหนึ่งในสองอย่างที่ทำให้ตัววิวรณ์ของอิสลามมีความเหนือกว่าทุกความคิดของมนุษย์ อย่างหนึ่งคือมันถูกรักษา(ฮิฟซฺ)ไว้ไม่มีใครสามารถบิดเบือนตัวต้นฉบับเดิมได้แม้จะผ่านมาเป็นพันปี อีกอย่างคือมันมีพลวัตที่ไม่เคยหยุดนิ่งผ่านคำอธิบาย(ตัฟซีร)ที่ปรากฏออกมาทุกยุคทุกสมัย
พลวัตที่ไม่หยุดนิ่งนี้ไม่ได้ทำลายคุณค่าของสติปัญญาและความคิดของมนุษย์ ตรงกันข้ามมันกลับโอบอุ้ม ดังที่อุลมาอ์ในยุคเก่าก่อนต่างยืนยันกันตลอดมาว่า … ปัญญาที่เที่ยงแท้ย่อมไม่ขัดแย้งกับวิวรณ์ที่แท้จริง
เรื่องโดย : อัล อัค