กว่า 500,000 ศพที่จบลมหายใจจากเหตุการณ์ความไม่สงบในซีเรียนับตั้งแต่ปี 2011 ที่ผ่านมา กอปรกับวิกฤติการณ์โจมตีด้วยอาวุธทางเคมีครั้งรุนแรงที่เมือง Dhouma เริ่มระอุขึ้นอีกครั้งตลอดสัปดาห์นี้ ก็ยิ่งมีทีท่าว่าจะทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตไต่สูงขึ้นอย่างไม่จบสิ้น
ในขณะที่ชายชาวซีเรียนับหมื่นแสนต้องถูกจับกุมและโดนสังหารเก็บชีวิตด้วยน้ำมือของกลุ่มกบฎ Isis และกองกำลังทหารซีเรีย ผู้หญิงชาวซีเรียที่เป็นช้างเท้าหลังอีกนับหมื่นพันก็ต้องเผชิญกับชะตากรรมเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง พวกนางต้องนำพาสมาชิกครอบครัวที่เหลือให้รอดพ้นจากความโหดร้ายเพียงลำพัง โดยไม่มีหลักประกันใดๆให้อุ่นใจได้เลยว่าสามีและลูกชายของนางจะกลับมา หรืออาจจบชีวิตไปแล้ว ณ แห่งหนใด
Om Mohammed เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยประสบชะตากรรมดังกล่าวนี้มาแล้ว แต่เธอสามารถเอาชีวิตรอดมาได้หลังจากที่พยายามค้นหาตัวลูกชายที่หายไปแทบพลิกแผ่นดิน เธอผ่านมรสุมนั้นมาได้อย่างเจ็บปวด
แม้เธอจะต้องเจอสภาพของสามีกลายเป็นศพที่จบชีวิตอย่างสุดสะเทือนคอยหลอกหลอนหัวใจ และเธอต้องต่อสู้เพื่อหาเลี้ยงปากท้องของลูกๆอีก 5 ชีวิต แต่เธอก็ไม่เคยระย่อที่จะหยุดค้นหาตัวลูกชายอีกคนที่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงวิกฤติสงคราม
ครั้งหนึ่ง Om Mohammed เคยมีชีวิตเป็นลูกสาวชาวนาปลูกฝ้ายที่ประสบความสำเร็จครอบครัวหนึ่ง เธออยู่กับพ่อแม่และพี่น้องอีกสามคนในชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งของซีเรีย ภาพพี่น้องนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ในวันที่แดดทอแสง ภาพเด็กๆในชุดนักเรียนสีเขียวเจิดจ้ากับแววตาไฝ่รู้อันเปล่งประกาย เธอบอกว่าวันเวลาแห่งความสุขเหล่านี้มันคืออดีตไปแล้วสำหรับเธอ เธอเคยมีชีวิตที่ดีและมีความสุข แม้ว่าเธอต้องหยุดเรียนและแต่งงานเมื่ออายุได้เพียง 16 ปี แต่เธอก็เคยมีความสุขกับชีวิตในแบบของเธอ
“ตอนสมัยเพิ่งแต่งงานใหม่ๆฉันเคยมีบ้านในเมืองชามของดามัสกัส สามีของฉันทำงานและมีรายได้ดี ฉันอยู่ที่นั่นมานาน 17 ปีจนเกิดเหตุการณ์ประท้วง แล้วชีวิตหลังจากนั้นก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ งานของสามีเริ่มลดลง รายได้เริ่มหายไป และด้วยเพราะเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจึงทำให้ฉันต้องบอกให้ลูกสาวหยุดไปทำงาน”
“จนอยู่มาวันหนึ่ง..สามีของฉันไม่ได้กลับบ้าน” การย้อนนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นทำให้ Om Mohammed เริ่มรู้สึกจุกที่ลำคอ
วันนั้นได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่อู่ซ่อมรถใกล้ที่ทำงานของสามี เธอพยายามติดต่อทางโทรศัพท์ แต่เขาไม่รับสาย
Om Mohammed และครอบครัวต่างก็คุ้นเคยกับเหตุการณ์บุคคลหายสาบสูญเป็นประจำเพราะในซีเรียมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลายหมื่นชีวิตได้หายสาบสูญไปตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง
เธอและครอบครัวใช้ความพยายามในการค้นหาตัวสามีแทบทุกที่ ทั้งในโรงพยาบาลและสถานีตำรวจ เธอใช้เวลาอยู่นานเกือบสองเดือน แล้วในที่สุดสัญชาติญาณก็บอกให้เธอลองไปหาที่ห้องเก็บศพดู
“เราไปหาตามโรงพยาบาลตั้ง 10 แห่ง ขอค้นดูศพผู้ชายเผื่อว่าจะเป็นสามี ตอนนั้นฉันได้เจอศพของใครต่อใครมากมาย จนมาถึงที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเราได้ขอเจ้าหน้าที่ลงไปดูที่ห้องเก็บศพชั้นใต้ดิน แล้วฉันก็ได้เจอศพของสามีที่นั่น ฉันถึงกับเป็นลมล้มฟุบลงกับพื้นอย่างคนไม่รู้สึกตัว”
“เราตัดสินใจพาศพเขากลับบ้านเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ด้วยสภาพศพที่พังยับเยินและเปลี่ยนรูปไปมาก เราแทบจะล้างศพเขาไม่ได้เลย”
ก่อนการค้นหาศพในวันนั้น Aran ลูกชายคนโตของ Om Mohammed ได้เดินทางออกจากบ้านไปทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองที่ไกลออกไป Aran ไม่ได้รับรู้เรื่องราวการเสียชีวิตของพ่อเลย และเมื่อ Om Mohammed ตัดสินใจจะบอกความจริงกับลูกชายเธอก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกครั้ง
“มีอยู่วันหนึ่ง กลุ่มทหารของ Isis ได้เข้ามารับประทานอาหารเที่ยงในร้านที่ Aran ทำงาน เมื่อฝ่ายทหารรัฐบาลทราบข่าวจึงรีบเข้ามาบุกตรวจค้นร้านอาหาร จนเกิดการต่อสู้กัน บางคนหนีเอาตัวรอดได้ บางคนก็เสียชีวิต แต่ลูกชายของฉันหนีออกมาไม่ได้”
“แล้วทางการของซีเรียก็จับกุมพนักงานร้านนั้นไปทั้งหมด ลูกของฉันพยายามชี้แจงว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นเพียงคนงานธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ทางการไม่รับฟังและบอกว่า หากทางร้านไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับ Isis พวกมันคงไม่กล้าพอที่เข้ามานั่งทานข้าวกันที่นี่ แล้วพวกทหารก็จับตัวลูกชายของฉันไป”
“พวกทหารจับตัวเขาไป พวกมันทำร้ายร่างกาย ทุบตี ขึงตัวพวกเขาบนฝาผนังและกำแพง พวกมันให้แค่เศษขนมปังเล็กๆเป็นอาหารในแต่ละวัน พวกมันทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ Isis จริง”
ตอนนั้น Om Mohammed ไม่ทราบชะตากรรมของลูกชายเลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง เธอเล่าให้ฟังทั้งน้ำตาว่า “ทุกๆวันผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ฉันคิดว่าตัวเองต้องเจอกับชะตากรรมเคราะห์ร้ายอีกแล้ว ฉันสูญเสียลูกชายไปอีกคน”
ด้วยรายได้ที่ขาดหาย เสบียงอาหารที่เริ่มร่อยหรอ ลูกเล็กอีกห้าคนที่เธอต้องดูแลท่ามกลางความรุนแรงของสงครามที่ร้อนระอุขึ้นทุกวัน น้องชายของ Om Mohammed จึงเสนอให้เธออพยพไปอยู่ที่เขตเคอร์ดิสถานของอิรักในที่สุด
เธอจึงตัดสินใจอพยพพาครอบครัวหนีความแร้นแค้นไปอยู่ค่ายผู้ลี้ภัยอันแสนอัตคัตชื่อว่า Domiz ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “Little Syria” เนื่องจากจำนวนประชากรส่วนใหญ่ในละแวกนั้นเป็นผู้อพยพชาวซีเรีย
น้องชายของเธอรับปากว่าจะหาตัวลูกชายของเธอจนพบ แม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องกลับไปค้นที่ห้องเก็บศพอีกครั้งก็ตาม แล้วเขาก็ทำตามสัญญานั้น
“สี่เดือนหลังจากอพยพมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัย น้องชายโทรมาบอกข่าวดีว่าลูกชายของฉันยังมีชีวิตนะ เราไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน เรารู้แค่เพียงว่าเขาเข้าร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยซีเรีย”
“น้องชายของฉันได้เบอร์เขามาจากทหารนายหนึ่ง เราพยายามติดต่อเขาไปหลายครั้งนานสามวัน จนกระทั่งวันที่สามเวลาสองทุ่มตอนกลางคืน ฉันจำได้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งรับสาย ฉันถามเขาไปว่ามีคนชื่อ Aran อยู่ที่นั่นไหม เขาตอบว่าชื่อคุ้นเหมือนเคยได้ยิน”
วันนั้นคลื่นไม่ค่อยดีเลย ผู้ชายคนนั้นพูดเหมือนกระซิบว่า “เดี๋ยวผมจะตามหาเขาให้ ถ้าผมโทรกลับหาคุณหนึ่งครั้ง ให้คุณโทรกลับมาแล้วรีบวางหูนะ”
Om Mohammed เฝ้ารออย่างมีความหวัง พร่ำวิงวอนต่อพระเจ้าให้ผู้ชายคนนั้นได้มีโอกาสโทรกลับหาเธอก่อนที่จะมีใครมาสั่งห้ามเขา
แล้วในที่สุดก็มีเสียงโทรเข้าหนึ่งครั้ง แต่วันนั้นเธอไม่มีเครดิตจะโทรกลับ
เธอรีบเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบน้ำตาลแล้วมุ่งหน้าไปที่ร้ายขายของชำ ขอร้องเจ้าของร้านเพื่อแลกซื้อกับกับบัตรเติมเงิน
“แล้วฉันก็ได้โทรกลับไปหาเขาในที่สุด วันนั้นสัญญาณแย่มากและเสียงจากปลายสายก็ดังวุ่นวาย แต่แล้วฉันก็ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นหูนั้นว่า “แม่ของผม ดวงใจของผม”
“น้ำตาฉันไหลทันที นั่นคือประโยคที่ลูกชายของฉันชอบพูดเสมอ ฉันรู้ทันทีว่านั่นคือลูกชายของฉันโดยที่ไม่ต้องเอ่ยอะไร ฉันเจอเขาแล้ว”
“Aran ถามถึงพ่อขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าพ่อจากไปแล้ว และฉันไม่กล้าบอกความจริงกับลูกเสียที”
ในแต่ละเดือน Om Mohammed จะนำข้าวสารและน้ำตาลไปแลกซื้อบัตรเติมเงินเพื่อให้ได้สื่อสารกับลูกชายอย่างลับๆ ทุกครั้งที่โทรไปลูกชายก็ถามถึงพ่อเสมอ และเธอก็โกหกลูกมาโดยตลอด เธอไม่กล้าบอกความจริงที่เจ็บปวดนั้น
Om Mohammed พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวสามารถออกไปจากค่ายลี้ภัยอันแสนรันทดและหาทางเพื่อพบกับลูกชายของเธออีกครั้งให้ได้ จนเวลาผ่านไป 1 ปี 9 เดือน เธอก็สามารถย้ายไปอยู่อาศัยกับพี่น้องและลูกๆของเธอพร้อมหน้ากันในบ้านหลังหนึ่ง เธอเริ่มเก็บออมเงินได้จำนวน £1,300 เธอจึงยอมเสี่ยงนำเงินดังกล่าวนี้ไปจ้างวานให้คนช่วยลักลอบพาลูกชายของเธอหนีออกมาจากซีเรีย
แล้วเธอก็ทำได้ในที่สุด Om Mohammed สามารถพาครอบครัวออกจากค่ายผู้ลี้ภัยไปปักหลักที่เมือง Erbil และสามารถเอาลูกชายกลับมาสู่อ้อมอกอีกครั้งได้สำเร็จ จนวันนี้ที่กาลเวลาผ่านไป 5 ปี เธอได้ใช้ชีวิตอาศัยอยู่กับครอบครัวในที่ที่เธอสามารถเรียกได้เต็มปากว่าบ้านแล้ว
“ฉันมีจักรเย็บผ้าเล็กๆหนึ่งเครื่องเอาไว้รับจ้างปักรเย็บให้กับเพื่อนบ้านและญาติมิตร ส่วนลูกชายตอนนี้ก็ขายน้ำชาถ้วยละ 100 ปอนด์ในสวนสาธารณะ แม้ทุกวันนี้ชีวิตของพวกเราจะยังคงลำบากยากจน แต่อย่างน้อยลูกชายก็ได้อยู่กับฉัน เท่านั้นแหละที่ฉันต้องการ เขาได้กลับมาอยู่ด้วยกันกับฉันแล้ว”
ปัจจุบัน Om Mohammed ได้ทำงานให้กับองค์กร Women for Women International ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนและให้การศึกษาแก่บรรดาผู้หญิงที่ต้องใช้ชีวิตในที่ที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดในโลก Om Mohammed พยายามตักตวงความรู้และสิ่งต่างๆที่องค์กรได้พร่ำสอนเพื่อนำไปบอกกล่าวและแบ่งปันให้กับลูกหลานในชุมชนของเธอต่อไป
นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นช้างเท้าหลังในสังคม และแม้ว่าเรื่องราวของเธอจะแตกต่างกันออกไป แต่ Om Mohammed อยากบอกให้ผู้หญิงทั้งโลกได้รู้ว่า พวกเธอไม่ได้เผชิญโลกนี้อย่างโดดเดี่ยวลำพัง
“ฉันขอเป็นกำลังใจให้กับผู้หญิงทุกคนที่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับฉัน ผู้หญิงที่ต้องเจอกับความยากลำบากดังเช่นที่ฉันเคยเจอ อยากให้เธอลุกขึ้นสู้และก้าวไปข้างหน้า ให้ลองเริ่มต้นใหม่และอยู่อย่างมีความหวังว่าจะได้เจอกับอนาคตที่ดีกว่าในวันข้างหน้า ฉันเองก็ดีใจมากที่ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันพร้อมหน้ากับลูกชายอีกครั้ง ฉันมีความสุขกับสิ่งที่ได้รับจริงๆ”
แปลและเรียบเรียง : Andalas Farr
ที่มา : Forgotten Women: A Syrian mother’s remarkable journey to find her son