fbpx

ทัวร์ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อิสลามกลางกรุงนิวยอร์ก

แม้ว่าศาสนาคริสต์น่าจะเป็นศาสนาหลักของผู้คนในสหรัฐอเมริกา แต่หลายคนอาจไม่ทราบมาก่อนว่า อิสลามนั้นก็เคยเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศมาช้านาน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่เช่นมหานครนิวยอร์ก

นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา ชาวมุสลิมในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่มักถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการก่อการร้าย  ที่นำมาซึ่งการเกิดอาชญากรรมจากความเกลียดชังและการถูกคุกคามทั้งทางวาจาและการขู่เข็ญหมายโจมตีศาสนาของชาวมุสลิม ผลพวงจากเหตุการณ์ 9/11 ในครั้งนั้นทำให้ตำรวจในกรุงนิวยอร์กเริ่มมีมาตรการเข้มงวดในการสอดส่องความเคลื่อนไหวของชาวมุสลิมมากขึ้น และเริ่มทำให้อิสลามไม่มีพื้นที่ยืนในสังคมเรื่อยมา

และเมื่อกรุงนิวยอร์กคือหนึ่งในเมืองหลวงที่มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จึงไม่แปลกที่เมืองนี้จะมีประวัติศาสตร์การอพยพย้ายถิ่นฐานที่ยาวนานที่สุด และด้วยอัตราประชากรผู้อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น ที่นี่จึงมีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารแตกต่างกันออกไปมากถึง 800 ภาษา และได้ทำให้เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความหลากหลายด้านภาษาและวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว จึงเห็นได้ว่าแทบทุกย่านชุมชนของนิวยอร์กนั้นล้วนมีกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งอาศัยเป็นชนกลุ่มใหญ่แตกต่างกันออกไป

ทัวร์ประวัติศาสตร์อิสลาม

Katherine Merriman นักศึกษาปริญญาเอกสาขาอิสลามศึกษาจากมหาวิทยาลัย North Carolina เมือง Chapel Hill เล่าให้สำนักข่าว Al Arabiya English ฟังว่า นิวยอร์กเป็นมหานครที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างมาก และมุสลิมก็เป็นหนึ่งในความหลากหลายนั้น และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงสมมุติฐานของเธอ เธอจึงตัดสินใจจัดทำทัวร์เชิงประวัติศาสตร์มุสลิมในเมืองนิวยอร์กขึ้นตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา

“ผลตอบรับจากการทำทัวร์นี้ออกมาดีมากๆ ทัวร์ของเราเป็นที่สนใจของคนทุกช่วงวัยจากหลายพื้นฐานศาสนาและอาชีพ ทำให้ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสพบปะกับผู้คนหลากหลายที่อาจไม่ได้เจอหากไม่ได้เข้าร่วมทัวร์ด้วยกัน” Merriman กล่าว

เธอเล่าให้ฟังว่า ชาวมุสลิมมักจะบอกกับเธอว่ารู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจลึกๆ ที่ได้รู้ว่าพี่น้องร่วมศาสนาเดียวกันจะเคยสร้างสิ่งดีๆ ที่ส่งอิทธิพลต่อเมืองนิวยอร์กและประเทศชาติ

“แต่ผลตอบรับที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือความเชื่อมั่นจากหลายคน ที่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าประวัติศาสตร์เหล่านี้ล้วนมีความสำคัญและควรได้รับการเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง เพื่อเป็นการเคารพให้เกียรติต่อสังคมในอดีต และเพื่อเป็นการตอบโต้ต่อกระแสการหวาดกลัวชนต่างชาติและการเหยียดสีผิวที่กำลังส่งผลกระทบต่อชาวมุสลิมและอีกหลายชาติพันธุ์ในประเทศอเมริกา”

โดยปกติเธอจะเริ่มเข้าเรื่องด้วยการเริ่มต้นจากการบอกเล่าถึงสถานที่สำคัญ เช่น ร้านหนังสืออนุสรณ์แห่งชาติแอฟริกัน (African National Memorial Bookstore) ซึ่งเป็นสถานที่ที่มุสลิมชาวอเมริกันชื่อดังอย่าง Malcolm X เคยอ่านค้นคว้าหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติของแอฟริกาและตะวันออกกลาง ซึ่งประเด็นนี้เองที่กระตุ้นให้ Merimam เริ่มคิดทำโครงการนี้ขึ้นมา รวมไปถึงการจัดทัวร์ชมแหล่งประวัติศาสตร์ของมุสลิมในเมืองฮาเล็มแห่งกรุงนิวยอร์กด้วยเช่นกัน

เรื่องราวที่ไม่ถูกบอกเล่า

“ชาวนิวยอร์กและนักท่องเที่ยวทั่วไปมักจะชอบมาสำรวจค้นหามรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเมืองนิวยอร์ก แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวต่างๆ ในอดีตไม่ได้ถูกนำมาเล่าสู่กันฟังทั้งหมดหรือบอกเล่าไว้เพียงบางส่วนเท่านั้น นอกจากการปรากฏตัวของ Malcolm X ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มีโอกาสรับรู้ว่าชาวมุสลิมนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนิวยอร์กแห่งนี้มาเนิ่นนาน นับตั้งแต่ช่วงต้นของการล่าอาณานิคมเมื่อปี ค.ศ. 1600 เรื่อยมา”  Merriman เล่าให้ฟัง

Merriman ไม่ได้เป็นมุสลิม แต่เธอเป็นชาวคริสต์คอทอลิกที่เริ่มหันมาสนใจและอยากศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิสลามหลังจากเกิดเหตุการณ์ 9/11 เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา

“ในนิวยอร์กมีมัสยิดประมาณ 300 แห่งกระจายอยู่ทั่ว 5 เขตสำคัญ นับตั้งแต่มัสยิดของชาวอินโดนีเซียในเมืองควีนส์ไปจนถึงมัสยิดของชาวอัลบาเนียในเมืองสเตเต็นไอแลนด์ ที่ล้วนมีบทบาทเป็นตัวเชื่อมต่อกับทุกมุมโลกผ่านการอพยพย้ายถิ่นฐาน, การจาริกแสวงบุญ, และเครือข่ายการศึกษา เป็นต้น ที่นี่มีจำนวนนักเรียนที่เป็นชาวมุสลิมมากกว่า 10% มันจึงทำให้เทศกาลอีดทั้งสองครั้งของอิสลามกลายเป็นส่วนหนึ่งของวันหยุดในโรงเรียนระบบรัฐด้วยเช่นกัน” Merriman อธิบายให้ฟัง

เธอเล่าให้ฟังด้วยว่า ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปีค.ศ.1600  มุสลิมกลุ่มแรกที่เข้ามาถึงเมืองนิวยอร์กคือกลุ่มแรงงานทาส ต่อมาจำนวนผู้อพยพเข้ามาตั้งรกรากได้เพิ่มตัวขึ้นเรื่อยๆ มัสยิดแห่งแรกของนิวยอร์กเริ่มจดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1907 ที่เมืองวิลเลียมสเบิร์ค โดยมีมุสลิมชาวลิธัวเนีย, ชาวรัสเซียและชาวโปแลนด์ร่วมกันก่อตั้ง

“หากพิจารณาชีวิตนอกบริบทศาสนาของมุสลิมในนิวยอร์กแล้ว พวกเขาก็คือสามัญชนธรรมดาทั่วไปที่ประกอบอาชีพเป็นครู เป็นนักดนตรี ทนายความ ไปจนถึงเป็นผู้ควบคุมรถไฟฟ้าใต้ดิน พวกเขาคือส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนที่ช่วยสร้างความเจริญให้กับเมืองแห่งนี้” Merriman กล่าว

เธอเล่าต่อไปอีกว่า ด้วยเพราะการแบ่งแยกทางศาสนาและชาติพันธุ์ที่ยิ่งทวีความรุนแรง เราจึงเห็นมุสลิมในอเมริกาออกมายืนแถวหน้าร่วมมีบทบาทในการต่อสู้เพื่อสิทธิและความชอบธรรมให้กับประชาชนในเมืองนิวยอร์กแห่งนี้

“ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2017 เมื่อร้านสะดวกซื้อของชาวเยเมนกว่าหนึ่งพันแห่งทั่วเมืองต่างพร้อมใจกันปิดร้านเพื่อประท้วงไม่เห็นด้วยกับข้อบังคับเกี่ยวกับการเข้าประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเจาะจงประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่”

ไอเดียการจัดทัวร์ของ Merriman เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอได้มีโอกาสพูดคุยกับกับนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่นับถือศาสนาอิสลาม นักศึกษากลุ่มนี้ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิมในเมืองนิวยอร์กเมื่อ 400 ปีที่แล้ว

“ฉันเริ่มจัดทัวร์ในเมืองฮาเล็มให้กับนักศึกษากลุ่มหนึ่งเมื่อปี 2014 ต่อมาจึงคิดตัดสินใจขยายโอกาสให้ผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมด้วย เพื่อเป็นการเผยแพร่เรื่องราวประวัติศาสตร์เหล่านี้ให้รู้กันในวงกว้างมากกว่าเพียงแค่ในรอบรั้วมหาวิทยาลัย โดยได้พยายามถ่ายทอดข้อมูลเชิงศาสนาและประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อนเหล่านั้นผ่านการเล่าเรื่อง, ผ่านงานสถาปัตยกรรม, ดนตรี, และรูปถ่ายต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้มันช่วยเบิกตาให้เราได้มีมุมมองใหม่ต่อถนนหนทางที่เราใช้กันอยู่ทุกวันได้เป็นอย่างดี”

เป้าหมายหลักของเธอคือการเปลี่ยนมุมมองที่คนส่วนใหญ่มีต่ออดีตที่ผ่านมา และเพื่อส่งเสริมให้ชาวนิวยอร์กร่วมกันให้เกียรติต่อผลงานต่างๆ มากมายที่ชาวมุสลิมร่วมอุทิศให้กับสังคม ทั้งในแง่ของแรงงาน, การอพยพย้ายถิ่นฐาน, งานศิลปะ, และการเมืองเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

ทัวร์ย่านวอลสตรีท

นอกจากทัวร์ในย่านฮาเล็มแล้วเธอมีแผนจะเปิดทัวร์ย่านวอลสตรีทขึ้นในฤดูกาลหน้านี้ เธออยากให้ลูกทัวร์ได้รู้จักกับยุคแรงงานทาสในประวัติศาสตร์ของชาวดัชต์และชาวอังกฤษ กลุ่มแรงงานเหล่านั้นได้แก่ชาวแอฟริกันมุสลิม, เชลยศึกชาวซีเรียแห่งยุคต้นศตวรรษที่ 20, ชาวเอเชียใต้, และกลุ่มกะลาสีแอฟริกันอังกฤษจากฝั่งตะวันออกที่ทำงานย่านท่าเรือในอดีต

ทัวร์ในครั้งนี้จะเป็นการพาไปชมอาคารและสถานที่สำคัญต่างๆ รวมไปถึงเยี่ยมชมแหล่งรถขายอาหารฮาลาลที่มีอยู่ทั่วไปซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นอาหารหลักของชาวเมืองนิวยอร์กไปแล้ว นอกจากนี้ทัวร์ยังมีการพาไปทำความรู้จักกับประเด็นการเหยียดสีผิวที่เกิดขึ้นในอดีต และสถานที่ต่างๆ ที่พอจะพิสูจน์ได้ว่าเมืองแห่งนิวยอร์กมีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอิสลามอยู่มากมายแทบทุกอณู

และเพื่อให้การเดินทัวร์มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น Merriman ได้ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ห้องสมุดในนิวยอร์ก เพื่อขอความร่วมมือช่วยสร้างคลังข้อมูลขนาดเล็กที่รวบรวมข้อมูลอ้างอิงต่างๆ และประวัติศาสตร์ปากเปล่าจากชาวมุสลิมเก็บรักษาไว้ เพื่อเปิดให้ผู้สนใจทั่วไปได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

“ข้อมูลอ้างอิงเหล่านี้จะสามารถนำไปใช้ไม่เฉพาะกับนักวิชาการหรือวางประดับห้องสมุดเท่านั้น แต่มันยังจะสามารถเก็บรักษาไว้เพื่อให้ลูกหลานชนรุ่นต่อไปได้เรียนรู้อีกด้วยเช่นกัน” Merriman กล่าวสรุป

ความพยายามของ Merriman ช่วยกู้ภาพพจน์และนำเสนอสังคมอิสลามที่เคยร่วมเป็นส่วนหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของประเทศพหุวัฒนธรรมอย่างเช่นอเมริกาได้อย่างน่าชื่นชม

แปลและเรียบเรียง : Andalas Farr
ที่มา : An academic’s quest to unearth centuries-old history of Islam in New York

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดอย่างไร ?

About author View all posts

Andalas Farr

คุณแม่ลูกสามผู้หลงใหลงานแปลภาษาเป็นชีวิตจิตใจ และรักงานเขียน งานสอนที่เชิญชวนสู่เส้นทางแห่งความดี ไม่ได้เป็นลูกครึ่งแต่รู้สึกผูกพันกับภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ ชนิดเห็นประโยคแล้วสมองต้องประมวลภาษาโดยอัตโนมัติ Andalas จบการศึกษาระดับปริญาตรีและโทคณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับครอบครัว ลูก และตัวอักษร