“พวกโรฮิงยาไม่รู้จักบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน อยู่บ้านเมืองเค้ายังหาเรื่องให้เจ้าของบ้านเค้า….หาแต่ความเดือดร้อนให้เจ้าของประเทศ…” ความเห็นหนึ่งในเฟซบุ๊กที่คอมเม้นใต้ภาพข่าวทางการพม่าเดินหน้าปราบปรามชาวโรฮิงญาต่อเนื่อง
ผมไม่ประณามคนที่คอมเม้นแบบนี้ แม้ว่าผมจะไม่ทราบว่าใจลึกๆ เค้าคิดแบบนั้นในแง่ของการ “สร้างความวุ่นวายในฐานะของผู้อาศัย” หรือเพราะโรค “เกลียดกลัวอิสลาม” ฝังแน่นในใจ
เพราะทั้งหมดทั้งมวลนั้น เกิดจากความรู้น้อยโดยแท้
เพราะรู้น้อย เข้าใจผิด เลยเกิดเป็นอคติ
…
ปี 2012 หลังจากที่ผมทราบว่า พม่าเริ่มเปิดเสรีทางการเมือง และ “อองซาน ซูจี” หญิงเหล็กผู้นำประชาธิปไตยพม่าจะได้รับอิสรภาพ ผมตั้งคำถามกับนายทหารของกองกำลังกะเหรี่ยง KNU ว่า เขามองเห็นอนาคตของตัวเองไหม
ลูกไม่ต้องพลัดพราก พ่อไม่ต้องไปรบ แม่ได้ทำกับข้าวกับแกง ไม่ต้องหุงหากินกันตายตามฐานที่มั่นอย่างที่เป็นอยู่ -ภาพมันจะเป็นแบบนั้นไหม
เขาตอบผมว่า ไม่
“ชนกลุ่มน้อยไม่มีใครฝากความหวังไว้กับนักการเมืองชาวพม่าหรอก”
นั่นเป็นคำตอบที่พลิกมโนทัศน์ของผม
ผมเคยคิดว่า อองซาน ซูจีคือคำตอบสำหรับทุกอย่างของปัญหาความขัดแย้งในพม่า ความตายอย่างทารุณไม่ควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินของเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอีกต่อไป แต่สำหรับข้อเท็จจริงแล้วเปล่าเลย
ไม่อาจหาญสรุปว่าเสรีภาพของชนกลุ่มน้อยคือกระสุนปืน แต่ผมเชื่อมั่นว่าลึกๆ แล้วมันใกล้เคียง
แม้ลึกๆ ผมจะเอาใจช่วยให้ “นางอองซาน” เป็นปาฏิหาริย์
แต่มันก็ไม่เกิดขึ้นจริง
…
ความตายที่ชายแดนฝั่งตะวันตกของชาติพันธุ์มุสลิม จำนวนศพไม่ได้มากมายไปกว่าความตายที่ทิศตะวันออกใกล้ชายแดนไทย-ลาว หรือทางเหนือที่ติดกับจีน -ที่นั่นชนกลุ่มน้อยโกก้างหลังพิงรั้วลวดหนามชายแดนจีน ยิงต่อสู้กับทหารรัฐบาลพม่าอย่างต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์แล้วเพื่อรักษาฐานที่มั่นสุดท้าย
อดีตนักรบที่ถูกกองทัพพม่าหลอกใช้ต่อสู้กับชนกลุ่มน้อยอื่น แต่ปัจจุบันก็กลายเป็นเหยื่อแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ได้ต่างกับชะตากรรมของชาวโรฮิงญา
ศพชาวไทใหญ่เคยกองพะเนินเทินทึก ไม่ได้น้อยไปกว่าศพของชาวกะเหรี่ยงคริสต์และกะเหรี่ยงพุทธ
ประวัติศาสตร์ที่แตกร้าวของพม่าเริ่มมาตั้งแต่ ค.ศ.1824 โดยเจ้าลัทธิอาณานิคมอังกฤษ ที่แบ่งแยกแล้วปกครองระหว่างพม่าแท้ และ พวกชนกลุ่มน้อยชายแดน
…
“เราเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์เหมือนกันไหม” มุสลิมคนหนึ่งเข้ามาตั้งคำถามในอีกกระทู้หนึ่ง
“แล้วคุณเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์เท่ากันไหม” ผมตั้งคำถามกลับในช่องแสดงความเห็นของตัวเอง
“ความตายของชาวโรฮิงญาเป็นสิ่งที่ไทยพุทธอย่างผมเจ็บปวด เช่นเดียวกับความเจ็บปวดต่อความตายของชาวโกก้าง ไทยใหญ่ คะฉิ่น ชิน กะเรนนีฯลฯ ผมเจ็บปวดกับประวัติศาสตร์การฆ่าที่ชาติพันธุ์พม่ากระทำต่อชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่ม”
“ถ้าทุกคนใคร่ครวญถึงความตายโดยอธรรมของมนุษย์อย่างไม่เลือกแบ่งแยกชาติพันธุ์และศาสนา ยกให้มนุษย์เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ทำให้การฆ่ามุสลิมโรฮิงญาเป็นสิ่งที่สังคมไทยพุทธกระแสหลักใคร่ครวญพร้อมร่วมเรียกร้องกดดันสังคมพุทธสุดโต่งอย่างพม่า บางทีทุกอย่างอาจจะดีกว่านี้”
“ดีกว่าเรามาแบ่งแยกพุทธกระทำต่อมุสลิม และเผลอสร้างความเดียดฉันท์ในสังคมโซเชียลไทยๆ เข้าไปอีก”
“เพราะตัวอย่างก็เห็นๆ อยู่แล้วว่าพม่ากระทำต่อทุกชาติพันธุ์และความศรัทธา”
“มันไม่ใช่เรื่องแก่นหลักแห่งศาสนา แต่เป็นชาตินิยมที่ทำให้พระสงฆ์ดวงตามืดบอดหลงคิดว่านั่นคือธรรม”
“และอองซาน ซูจีก็ถูกคาดหวังสูงเกินไป”
ทั้งหมดนั่นผมไม่ได้คลิก Enter ไปหรอก แต่ลบมันอย่างเงียบเชียบ
…
ผมใส่ชื่อตัวเองเข้าร่วมรณรงค์ถอดถอนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพของนางอองซาน ซูจี
นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าเธอไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้
ที่สมุทรสาคร วันที่เธอปรากฏตัวต่อแรงงานชาวพม่านับหมื่นคน วันที่เธอมีสิทธิ์จะพูดอะไรต่อมิอะไรมากมายเพื่อกำหนดอนาคตของพม่าเสียใหม่
แต่เธอก็ไม่ได้พูดถึง
เธอยกมือโบกให้แรงงานชาติพันธุ์เดียวกับเธอท่ากลางเสียงโห่ร้อง
หญิงสาวไทยใหญ่กลุ่มหนึ่งยืนหลบอยู่ข้างเสาไฟฟ้า พวกเธอผิดหวังที่ซูจีไม่ได้มองเห็นพวกเธอแม้แต่เงา
ที่ย่างกุ้ง วันเดียวกับที่ซูจีให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศต่อทิศทางของพรรค NLD ต่อการเลือกตั้งทั่วไป เป็นวันเดียวกับที่พระวีรทูเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าขับไล่ชาวโรฮิงญาออกไปจากแผ่นดินของพวกเขา
ซูจี เธอไม่ได้เหมาะกับการยกย่องด้านการสร้างสันติภาพ
เธอต่อสู้เพื่อเส้นทางทางการเมือง เธอไม่ได้ต้องการปลดปล่อยพม่าออกจากกรงขังมโนสำนึกด้านชาตินิยม
ผมไม่ได้รังเกียจเธอ แต่เธอไม่เหมาะกับรางวัลนี้
เพราะมันทำให้เราคาดหวังเธอมากเกินไป