5 ประสบการณ์จากเดือนรอมฎอนและการถือศีลอด ของชายต่างศาสนิกที่อาศัยในซาอุฯมากว่า 10 ปี
ในฐานะที่ใช้ชีวิตในประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่มากว่า 10 ปี สำหรับผมเดือนรอมฎอนได้กลายเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลสำคัญของชีวิตผมไปแล้ว มากพอๆ กับวันคริสต์มาสและวันขอบคุณพระเจ้าของทุกปีเลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นผมก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะมีความผูกพันส่วนตัวเป็นพิเศษกับเดือนรอมฎอนเหมือนเช่นเทศกาลอื่นทั่วไป เพราะผมไม่เคยถือศีลอดและไม่เคย “จริงจัง” กับเดือนนี้ดังเช่นที่มุสลิมส่วนใหญ่ประพฤติปฏิบัติกัน
สำหรับเดือนรอมฎอนในปีนี้ผมเลยอยากลองร่วมถือศีลอดกับมุสลิมอีก 1.5 พันล้านคนทั่วโลกเพื่อทำความรู้จักกับเดือนอันประเสริฐนี้ให้ลึกซึ้งและเพื่อได้ทบทวนตัวเองมากยิ่งขึ้น และนี่คือสิ่งที่ผมได้ค้นพบจากช่วงเวลาเหล่านั้น …
1. รอมฎอนสอนให้ผมรู้จักข่มตนเอง
แม้ว่าผมจะเคยลองอดอาหารเป็นพักๆ มาแล้วก่อนหน้านี้ แต่การถือศีลอดในเดือนรอมฎอนมันเป็นอะไรที่จริงจังและเข้มงวดกว่านั้นมาก การต้องบังคับจิตใจตนเองไม่ให้มีเครื่องดื่มใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟหรือน้ำเปล่าตกถึงท้องตั้งแต่เช้ามืดจนพลบค่ำน่าจะเป็นข้อห้ามที่โหดและยากที่สุดสำหรับผม แต่น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับพลังในการข่มตนเองรูปแบบใหม่ยังไงไม่รู้ และมันยังช่วยสอนให้ผมรู้จักเห็นอกเห็นใจคนที่ต้องใช้แรงกายทำงานหนักกลางแดดอันร้อนระอุราวร้อยกว่าองศามากยิ่งขึ้น เพราะอย่าลืมว่า “รอมฎอน” นั้นมีรากศัพท์จากคำว่า ramida หรือ ar-ramad ที่แปลว่า “แดดร้อนแผดเผา” หรือ “ความแห้งแล้ง” จึงไม่แปลกที่ส่วนหนึ่งของความท้าทายในเดือนรอมฎอนก็คืออากาศที่ร้อนระอุนั่นเอง
ผมรู้สึกได้ถึงดีกรีของความร้อนและความแห้งผากของสภาพอากาศที่ทวีและรุนแรงยิ่งขึ้นในวันถือศีลอด แต่กระนั้นสิ่งเหล่านี้มันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกเมตตาและเข้าใจต่อความเคร่งครัดของคนที่ต้องถือศีลอดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเดือนรอมฎอนมาเยือนในช่วงกลางฤดูร้อนในประเทศที่มีอากาศร้อนอย่างซาอุดีอาระเบีย
2. รอมฎอนคือเดือนแห่งมิตรภาพ
หนึ่งในประโยชน์ที่ไม่คาดคิดที่ได้จากการร่วมถือศีลอดในเดือนรอมฎอนไปพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมงาน คือมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นจนผมรู้สึกได้ หลายครั้งที่ใครมักมาถามไถ่ผมว่า “คุณยังถือศีลอดอีกไหมวันนี้?” และทุกครั้งที่ผมตอบไปว่า “ครับ” ผมกลับรู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของเรายิ่งแน่นแฟ้นขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
และแน่นอนว่าสิ่งที่เป็นไฮไลต์ที่สุดแห่งฤดูกาลก็คือช่วงละศีลอด ณ ที่ทำงาน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนจัดปาร์ตี้คริสต์มาสที่ช่วยให้ทุกคนได้มีโอกาสกระชับมิตรกัน ความหิวกระหายจากการถือศีลอดที่คละเคล้ากับความสนุกสนานในการละศีลอดร่วมกับคนที่ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้เช่นเดียวกับเรา มันยิ่งทำให้เรารู้สึกรอมฎอนมีความหมายมากยิ่งขึ้น ความรู้สึกโล่งอกดีใจเมื่อได้ยินเสียงอาซาน การได้ร่วมวงพร้อมกับเพื่อนร่วมงานเพื่อตั้งตารอวินาทีที่ต้องละศีลอดร่วมกัน และการได้หัวเราะมีความสุขร่วมกันหลังอาหารละศีลอดในมื้อนั้น เหล่านี้ล้วนเป็นของขวัญวิเศษที่เราได้จากเดือนรอมฎอนฤดูกาลแห่งความประเสริฐทั้งสิ้น
3. รอมฎอนคือเดือนแห่งสุขภาพกายที่ดี
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยกย่องคุณประโยชน์ของการถือศีลอด ว่าไม่ได้เป็นแค่กระบวนการชำระร่างกายส่วนภายในหรือเป็นการดีท็อกซ์ร่างกายแบบดั้งเดิมเพียงเท่านั้น แต่การถือศีลอดยังเป็นวิธีที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่าทั้งสองอย่างนี้มันได้ผลเมื่อน้ำหนักของผมลดลงจากเดิมได้ 7 กิโล แน่นอนว่าน้ำหนักที่หายไปสำหรับผู้ชายตัวใหญ่อย่างผมนั้นคงเป็นส่วนของน้ำหนักมวลน้ำเสียมากกว่า แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งสองคุณประโยชน์นี้มันกลับทำให้ผมอยากถือศีลอดทุกวัน และผมยังตกใจด้วยซ้ำว่าอาหารทานเล่นช่วงมื้อค่ำที่ผมชอบทานอยู่บ่อยๆ นั้นจะทำให้ตัวเองอ้วนขึ้นและสุขภาพแย่ลงไปทุกที
ในทางตรงกันข้ามผมกลับตระหนักยิ่งขึ้นว่า อันที่จริงการละศีลอดแบบดั้งเดิมที่ส่งเสริมให้เราทานอาหารเบาอย่างลูกอินทผาลัม โยเกิร์ตและน้ำเปล่านั้น คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกายในการช่วยแบ่งเบาให้กระเพาะได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับอาหารหลักที่กำลังจะตามมา มันคือการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและจิตใจที่ผมรู้สึกอยากนำไปปฏิบัติใช้เป็นวิถีชีวิตใหม่ของตัวเองเรื่อยไป
4. รอมฎอนคือเดือนที่ปลูกฝังความรู้สึกขอบคุณ
รอมฎอนคือฤดูกาลแห่งการทบทวนชีวิต ผมจึงถือโอกาสใช้รอมฎอนเป็นช่วงเวลาแห่งการคิดทบทวนชีวิตกับทุกสิ่งดีๆ ที่ผมได้รับตลอดที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ในเดือนนี้แต่มันรวมไปถึงสิ่งดีๆ ที่ผ่านมาตลอดทั้งชีวิต เพราะมีรายงานฮะดิษเกี่ยวกับความสงบสุขบทหนึ่งที่ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า
“ความมั่งมีหาใช่การได้ครอบครองซึ่งสรรพสิ่งมากมาย แต่ความมั่งมีที่แท้จริงคือความร่ำรวยทางจิตวิญญาณต่างหาก”
เป็นประโยคที่สวยงามมากและไม่มีอะไรที่พูดได้ดีไปกว่านี้แล้ว และตัวผมเองก็รู้สึกดื่มด่ำกับก้าวย่างที่ค่อยเป็นค่อยไปของเดือนรอมฎอนในการค้นพบสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ผมพยายามใช้เวลาในการสร้างความรู้สึกขอบคุณต่อทุกความร่ำรวยที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ และผมก็เริ่มเห็นคุณค่าของความรู้สึกขอบคุณและการมีน้ำใจของผู้คนรอบข้างด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาผ่านวิถีชีวิตในแต่ละวันของผมอีกด้วย ผมเคยแม้กระทั่งพยายามโบกรถคันหนึ่งให้จอดเมื่อเขาคนนั้นเผลอลืมหยิบของที่ซื้อในห้างติดตัวกลับไปด้วย คนขับรถสีหน้าอึ้งตะลึงคนนั้นหันกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างเมื่อผมยื่นนมที่เขาลืมให้กับมือ พร้อมพูดอวยพรให้เขาด้วยว่า “สุขสันต์เดือนรอมฎอนครับ!”
5. รอมฎอนคือเดือนที่ให้ความกระจ่าง
ข้อนี้น่าจะเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงผมมากที่สุดและยากที่จะอธิบายมากที่สุดเช่นกัน การได้เข้าร่วมเดือนรอมฎอนอย่างเต็มที่ ได้ลองถือศีลอดและฝึกบังคับใจตนเอง กับการได้มีโอกาสเชื่อมสัมพันธ์กับมิตรสหายและเพื่อนร่วมงานชาวมุสลิมในรูปแบบใหม่เช่นนี้มันช่วยทำให้ผมได้มีโอกาสร่วมแบ่งปันวิถีดั้งเดิมที่ทำให้รอมฎอนกลายเป็นเดือนมหาประเสริฐมาช้านานจนถึงทุกวันนี้
คำว่า “tradition” หรือธรรมเนียมวิถีดั้งเดิมนั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน “tradere” ที่แปลตรงตัวได้ว่า “การถ่ายทอด, การส่งต่อ, การให้เพื่อเก็บรักษาไว้…” และผมคิดว่าการได้เข้าร่วมถือศีลอดในเดือนรอมฎอนอย่างเต็มรูปแบบเช่นนี้ทำให้ผมได้พบกับโลกทัศน์และมุมมองใหม่ที่มีต่อศาสนาและวัฒนธรรมของประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งความกระจ่างแจ้งเหล่านี้มันมากมายจนสามารถเอาชนะทุกประสบการณ์และความรู้สึกของทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเลยทีเดียว
ครั้งหนึ่ง Rumi กวีซูฟีเคยเขียนว่า “คนทุกคนสามารถมองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้มากเท่าความกระจ่างของหัวใจที่แต่ละคนมี และมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาคนนั้นจะขัดเกลา (หัวใจ) ตนเองบ่อยแค่ไหน คนที่ขัดเกลามากก็จะยิ่งเห็นมาก—มากจนรูปธรรมของสิ่งที่มองไม่เห็นกลายเป็นสิ่งที่ชัดเจนสำหรับเขาคนนั้นในที่สุด”
รอมฎอนคือเดือนที่หยิบยื่นช่วงเวลาและโอกาสแก่ผมในการ “ขัดเกลาจิตใจ” ของตนเอง และทำให้ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญการฤดูกาลนี้ในมิติมุมมองใหม่ คือแสงสว่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้นที่ผมคงไม่มีวันลืมไปอีกนาน
โดยรวมแล้ว การได้ร่วมถือศีลอดในฐานะคนต่างศาสนิกนั้นถือเป็นประสบการณ์แห่งรางวัลอันล้ำค่ายิ่ง ผมรู้สึกว่ามันง่ายขึ้นและให้คุณประโยชน์กับตัวผมเองมากกว่าที่ผมเคยจินตนาการไว้เสียอีก ดังเช่นที่พระเจ้าได้บอกไว้ในอัลกุรอานว่า
“อัลลอฮนั้นทรงปรารถนาความง่ายดายกับเจ้า และพระองค์ไม่ได้ปรารถนาความยากลำบากแก่ตัวเจ้าเลยแต่อย่างใด”
ในขณะที่เราพยายามสุดความสามารถเพื่ออดทนกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวและแฉะชื้นของฤดูกาลนี้ ตลอดจนการพยายามค้นหาความง่ายดายให้กับตัวเอง ผมอยากแนะนำให้เราลองใช้ช่วงเวลานี้หันมาทบทวนการเดินทางของชีวิตตนเองตลอดที่ผ่านมา ลองถือโอกาสทบทวนชีวิตในช่วงรอมฎอนเช่นนี้ เพราะในที่สุดแล้ว จะมีใครที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการฝึกควบคุมจิตใจตนเอง, จากการสานสัมพันธ์มิตรภาพในรูปแบบใหม่, การได้โฟกัสต่อการดูแลรักษาสุขภาพกายของตนเอง, การได้มีเวลาทบทวนและค้นหาสิ่งที่ควรขอบคุณในชีวิต และการได้เปิดมุมมองโลกทัศน์ของตนเองให้กระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม รอมฎอนมีแต่ให้กับให้จนเรารู้สึกมีแต่ได้กับได้ นี่คือเหตุผลเบื้องหลังความประเสริฐของเดือนรอมฎอนที่มุสลิมทุกคนต่างเฝ้ารอคอย
แปลและเรียบเรียง : Andalas Farr
ที่มา : 5 Things I Experienced in Ramadan as a Non-Muslim Living in Muslim Majority Countries