fbpx

ความรัก เรื่องสำคัญที่เราต้องออกแบบ

หากอารมณ์และความรู้สึกเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กำหนดเส้นทางชีวิตของมนุษย์ แล้วความรู้สึกแบบใดกันเล่าที่มนุษย์ให้ความใส่ใจมากที่สุด

มาก..จนสามารถละเลยหน้าที่

มาก..มากจนสามารถละเลยผู้คนรอบตัว

และมากเสียจนสามารถละเลยชีวิต

ท่ามกลางอารมณ์ที่สับสนปรวนแปร นามธรรมเดียวที่ใช้ได้ผลกับมนุษย์มากที่สุดนั่นก็คือ ความรัก เพราะจะด้วยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ในโลกยุคปัจจุบันมนุษย์ต่างยินยอมให้ความรักเข้ามามีอำนาจควบคุมชีวิตของตนเองไปแล้ว

หากเปรียบอารมณ์เป็นอาหาร ความรักจะเป็นอีกหนึ่งเมนูที่มนุษย์ทุกคนล้วนตั้งใจปรุง ต่างพิถีพิถันสรรหาเครื่องเทศและวัตถุดิบชั้นดีมาประกอบ จนบางครั้งอาจมากเกินจนหลงลืมรสชาติที่แท้จริงของความรักไป

และหากเรายอมรับว่าอิสลามคือแบบแผนในการดำเนินชีวิต บางทีอาจถึงเวลาที่เราต้องเริ่มเรียนรู้เรื่องความของความรักในมุมมองของอิสลามแล้วก็เป็นได้


 อิสลาม / นิยาม / ความรัก

“เรื่องของความรักนี่เป็นเรื่องที่อิสลามส่งเสริมและให้ความสำคัญ เพียงแต่ว่าในมิติของความรักที่เกี่ยวกับตัวบุคคลนี่อิสลามได้วางกรอบเอาไว้ อิสลามเป็นศาสนาที่ส่งเสริมให้เกิดความรักความเมตตา ฉะนั้นสิ่งที่เป็นสาระสำคัญเราต้องย้อนกลับไปดูว่าอิสลามมุ่งเน้นในเรื่องนี้อย่างไร” อ.อามีน เหมเสริม หัวหน้าฝ่ายวิชาการ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมยาตีมทีวี ให้ความเห็นเรื่องความรักในทัศนะของอิสลามว่าเป็นเรื่องที่มุสลิมอาจหลงลืมแบบอย่างจากคำสอนอิสลามที่วางกรอบและแนวทางปฏิบัติในเรื่องความรักเอาไว้

“เรื่องของความรัก เรามักจะได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งอื่นมากกว่าที่จะได้จากอัลกุรอาน มากกว่าฮะดิษของท่านนบีมุฮัมมัด(ขอศานติจงมีแด่ท่าน) ซึ่งที่จริงมันมีอยู่” ซุฟอัม อุษมาน บก. ภาคภาษาไทย Islamhouse.com แสดงทัศนะที่สอดคล้องกับ อ.อามีน พร้อมกับตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า “เราไม่เคยตั้งคำถามว่า อัลกุรอานพูดถึงความรักอย่างไร ท่านนบีมุฮัมมัด(ขอศานติจงมีแด่ท่าน) แสดงออกถึงความรักแบบไหน”

ซุฟอัม ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าแทนที่จะเราจะใช้แบบอย่างเรื่องความรักจากคำสอนอิสลาม เรากลับปล่อยให้ภาพความรักจากสื่อใกล้ตัวเข้ามีอิทธิพลต่อชีวิตแทน “เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเพราะที่จริงแล้วอิสลามเองก็พูดถึงความรัก ในกุรอานได้พูดถึงความรักเอาไว้อย่างสวยงามมาก ในฮะดิษเองก็พูดถึงความรักที่สวยงาม และก็เป็นอะไรที่มันสวยงามกว่าความรักที่เราได้มาจากสื่อปัจจุบันด้วยซ้ำไป”

ด้าน อ.มาเรียม อัศอารีย์ นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการ ในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับปัญหารักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่น อธิบายสาเหตุของปัญหาความรักในวัยหนุ่มสาวในเชิงจิตวิทยาว่า “ในช่วงของวัยรุ่นนี่เป็นวัยที่ฮอร์โมนเพศเกิดขึ้น ก็จะเป็นตัวมากระตุ้นทำให้วัยรุ่นมีการรับรู้แล้วก็มีความรู้สึกอยากเข้าไปสัมผัสอยากเรียนรู้ในเรื่องของความรัก เราก็จะเห็นในกลุ่มของวัยรุ่นก็จะมีแก็งค์มีก๊วนและก็คบเพื่อนต่างเพศคบเพื่อนข้ามเพศอะไรของเค้าตามที่เค้าชอบ และเค้าก็จะมีกิจกรรมกันจะไปเที่ยวด้วยกัน ซึ่งนั่นคือการเรียนรู้กันอยู่ด้วยกัน ว่ากับคนรักนี่เค้าจะปฏิบัติตัวอย่างไร กลุ่มเพื่อนที่เค้าเข้าไปอยู่ร่วมเพื่อนก็เป็นตัวดึง เพราะฉะนั้นคนเราก็มีความคล้อยตามเพื่ออยากอยู่ร่วมกับกลุ่ม อยากเป็นฮีโร่ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ มันก็ยิ่งจะเป็นตัวไปกระตุ้นให้เค้าทะยานฮึกเหิมโดยที่ไม่ระมัดระวัง”

อ.มาเรียม ยังได้กล่าวย้ำถึงการที่อิสลามให้ความสำคัญกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวไว้อีกว่า “อัลเลาะห์(ซ.บ)พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงรอบรู้ ก็จะบอกกับวัยรุ่นมุสลิมว่า ให้ระวังในการอยู่ร่วมกันระหว่างเพื่อนต่างเพศ ไปไหนกับเพศตรงข้าม หรือไปไหนกับคู่รักก็ให้ระมัดระวัง นี่เป็นการป้องกันในเรื่องของการผิดประเวณีหรือล่วงละเมิดทางเพศที่เราเห็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน”

Love-Ameen

แน่นอนว่าความรักมันคือเรื่องอารมณ์และความรู้สึก เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครเถียง แต่นอกเหนือจากไปนี้ อ.อามีน มองว่าความรักที่ใช้เพียงแค่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวอาจไม่ชอบคำตอบที่ถูกต้อง “ความรู้สึกอย่างเดียว บางทีมันนำพาชีวิตไปสู่ความรักที่ไม่แท้จริง มันอาจจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นจากความเสน่ห์หา เกิดขึ้นจากความสนุก หรือเกิดขึ้นจากอะไรก็ตามที่ ณ ตอนนั้นอารมณ์เราต้องการ”

หากคำตอบที่ถูกของความรักไม่ได้อยู่แค่เพียงความรู้สึก แล้วคำตอบที่ถูกต้องของมันจะอยู่ตรงไหน “อัลกรุอานพูดถึงความรักที่ไมมีวันตาย พูดถึงความรักหลังจากวันอาคิเราะห์ มันไม่ใช่แค่ความรักเหมือนที่หนุ่มๆ สาวๆ เป็นกันอยู่ในปัจจุบัน อย่างเช่นระบบแฟน ระบบกิ๊ก หรือระบบอะไรก็ตาม” ซุฟอัม กล่าวพร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “การแสดงออกของความรักที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ขอศานติจงมีแด่ท่าน) ทำให้เราเห็นเป็นตัวอย่างบางครั้งเราก็ยังนึกอายว่า เราไม่สามารถทำได้อย่างท่านทำได้ ท่านจะออกไปละหมาดท่านจูบภรรยาของท่าน ซึ่งเราเป็นคนที่เรียนศาสนาบางทีก็ยังแสดงออกอย่างนั้นไม่ได้เลย มันเกิดคำถามว่าทำไม? มุมมองความรักแบบนี้มันหายไปไหน? มันอยู่ที่ไหนในความรู้สึกหรือความรับรู้ของเรา? เราไม่ได้ศึกษาเลย  เราเล่นความรัก หรือว่าเราใช้ความรักเหมือนกับเป็นค่านิยมมากว่าที่จะเรียนรู้ให้เข้าใจก่อนที่จะเข้าไปพัวพัน จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความรัก”

 

ความรัก = ชีวิตคู่ 

Love-salma

จากเด็กสาวผู้พยายามค้นหาตัวเอง วิ่งไล่ตามความฝันบนวิถีทางของสังคมใหญ่ ล้มลุกคลุกคลานกับความผิดหวังมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนวันหนึ่งกลับกลายเป็นมุสลีมะห์ผู้ค้นพบทางออกจากจุดเริ่มต้นที่เธอเดินจากมา และนี่คือเรื่องราวความรักของเธอ ซัลมา บุญยงค์

“คือชีวิตในตอนนั้นมันมันดราม่ามากๆ ถึงแม้จะไม่คิดฆ่าตัวตายแต่ก็คิดว่าอัลเลาะห์เอาชีวิตหนูไปเลยก็ได้ พระเจ้าเอาหนูไปเลยก็ได้ หนูไม่อยากอยู่แล้ว มันทรมาน แต่เรามาฉุกคิดได้ว่าเราจะยอมตายเพราะผิดหวังกับอีแค่เรื่องความรักเนี่ยนะ ชีวิตมันยังต้องเจอเรื่องอีกเยอะแยะ ไม่ใช่แค่เรื่องรักเรื่องเดียวที่จะทำให้เรารู้สึกว่าต้องไปทุ่มกับมันมากๆ

วันหนึ่งที่เราได้มีลูก ได้เป็นพ่อเป็นแม่ เราจะรู้เลยว่าไอ้ความรักที่เราจิตนาการอยู่แบบหนุ่มสาว มันไม่มีอยู่จริง ความรักมันเป็นแค่การคล้องกันไว้ มันเป็นการอยู่ร่วมกัน

ศาสนามีผล มีผลอย่างมากด้วยเพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตมีบททดสอบเยอะ มีเรื่องแย่ๆ เข้ามาเยอะ มันมีฮาดิษหนึ่งที่บอกว่า ให้เราอย่ารักสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไป เพราะว่าบางทีสิ่งที่เรารักมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เราเกลียด และสิ่งที่เราเกลียดก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เรารักได้ในวันหนึ่ง นี่คือจุดพลิกผันที่ทำให้ทุกวันนี้เรารู้สึกว่าไม่รักไม่เกลียดอะไรมากจนเกินไป เราเป็นมนุษย์ต้องมีกิเลสต้องมีตันหา มีอิจฉาริษยา แต่ว่าอยู่ที่ว่าเราจะดับสิ่งพวกนี้อย่างไร นั่นก็คือการกลับมาหาอิสลาม การกลับมาดูในสิ่งที่ศาสนาสอนไว้ ในสิ่งที่นบีเคยปฏิบัติไว้ เรามีความเชื่อว่าความรักที่ดีที่สุดคือความรักที่มีต่อพระเจ้า ความรักต่อมนุษย์มีวันลดมีวันหายมีวันจืดจางแต่ว่า ตราบใดที่เรามีความรักให้พระเจ้ามากที่สุด เรารักพระเจ้ามากเท่าไหร่พระเจ้าก็จะรักเราเท่านั้น แล้วพระเจ้าก็จะให้คนนั้นคนนี้มารักเรา

ทุกวันนี้โลกมันก็เปลี่ยนไปแล้ว มันมีน้อยคนที่จะคิดว่าให้เด็กที่ยังเรียนไม่จบแต่มีความพอใจกันให้แต่งงานกันก่อน ทุกคนเอาแต่คิดว่าจะต้องเรียนจบก่อน มีเงินก่อน ทำงานก่อน แล้วค่อยแต่งงาน ถ้ามันมีคนคิดแบบว่าให้เด็กได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อน ก่อนความเหมาะสม มันก็น่าจะช่วยลดปัญหาสังคมได้ แต่ตอนนี้มันไม่ มันกลายเป็นว่าผู้ใหญ่บางคนทำให้ความรักของเด็กยากขึ้นด้วยวัตถุรอบๆ ตัว”

 

ท่ามกลางชีวิตเสรีที่ฉาบทาด้วยอุดมการณ์และความฝัน อัซฮาร์ สารีมะเจ๊ะ เด็กหนุ่มที่เดินทางไกลจากชายแดนใต้เข้ามาขวนขวายหาวิชาความรู้ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ กลับยึดมั่นในหลักการและเลือกมีชีวิตที่แตกต่าง จนสังคมรอบข้างตั้งคำถามถึงสิ่งที่เค้าเป็น

Love-ashar

“ผมแต่งงานในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เพราะว่าภรรยาเองก็เรียนด้วยกันที่ธรรมศาสตร์ ก็ต้องพบเจอกันในชีวิตประจำวันและปฏิสัมพันธ์ในช่วงเวลาเรียน ต้องทำกิจกรรมร่วมกันในชมรม ตรงนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้ผมได้เห็นข้อจำกัดของตัวเองด้วยว่าหลายอย่างเราก็ทำเองไม่ได้ จึงตัดสินใจแต่งงาน

คำถามแรกสุดก็คือ มันใช่เวลาแล้วหรอที่จะตัดสินใจแต่งงาน เรายังอยู่ในมหาวิทยาลัยยังเป็นนักศึกษาอยู่จะแต่งงานแล้วหรือ ทำไมไม่รอให้จบก่อน มีงานทำมีอะไรทุกอย่างก่อน แต่ความคิดของผมตอนนั้นคือการชอบของเรานี้มันต้องไปพร้อมกับการที่เราจะให้เกียรติตัวเองและให้เกียรติคนที่เราชอบด้วย ฉะนั้นเราจะต้องไม่ทำให้มันเป็นความลับ หากเราคิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องของเราสองคนจะไปไหนก็ไป แบบนั้นผมคิดว่า หนึ่งก็คือไม่เกียรติผู้หญิง สองก็คือไม่ให้เกียรติครอบครัวของเราเอง จึงทำให้ผมตัดสินใจที่จะพูดคุยกับภรรยา

ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องระหว่างเราสองคนเท่านั้นนะครับ เราก็ต้องปรึกษาหารือกับทางบ้าน ปรึกษาหารือกับเพื่อนๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองเรา กรณีของผมนี่ดีตรงที่ครอบครัวเองก็สนับสนุน ถ้าเราจะตัดสินใจทำในสิ่งที่ดีกว่าก็คือการแต่งงาน ครอบครัวก็พร้อมที่จะสนับสนุน ซึ่งผมก็ดีใจ เพราะความรักมันจะมีความหมายและความรักมันจะมีสถานะที่มีค่ามากหากเราสามารถดำเนินความรักไปตามครรลองของที่อิสลามบอกไว้”

 

อยู่ก่อนแต่ง VS แต่งก่อนอยู่ 

หากความรักเป็นดั่งสารตั้งตนของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แน่นอนว่าเราจะต้องเลือกสารประกอบที่เหมาะสมและลงตัวที่สุดเพื่อให้การอยู่ร่วมกันนั้นเป็นสุข แต่ทว่าในปัจจุบัน ต่างมีตัวแปรมากมายที่พร้อมเปลี่ยนความรักให้กลายเป็นความทุกข์

ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวของสถาบันครอบครัว ความรุนแรงในครอบครัว หรือว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง ล้วนต่างสนับสนุนให้ผู้คนแห่งยุคสมัยร้องหาการอยู่กินกันก่อนแต่ง ด้วยเชื่อว่านั่นคือการช่องทางในการดับทุกข์ที่เกิดจากรัก หากความรักครั้งนี้ไม่สำเร็จ

Love-Sufam

“หนุ่มสาวอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานว่าเป็นเรื่องธรรมดา มันอยู่ที่ว่าเราใช้บรรทัดฐานไหนในการตัดสิน ถ้าเราเอามาตรฐานสังคมทั่วไปมาตัดสินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ แต่ถ้าเรามองเอาศาสนาเป็นหลักเป็นมาตรฐานก็เป็นเรื่องที่แปลกแน่นอน” อัซฮาร์ กล่าวหลังเราถามความเห็นเรื่องค่านิยมของการอยู่กินกันก่อนแต่งงาน ที่กำลังระบาดอยู่ในแวดวงนักศึกษา และอธิบายต่อว่า “เพราะว่าอิสลามเองเป็นศาสนาที่ประกอบด้วยแบบแผนในการดำเนินชีวิตทุกส่วนตั้งแต่ตื่นนอนยันถึงเข้านอน เช่นความรักที่อิสลามพูดถึงนี่จะต้องดำเนินการไปอย่างไร โดยเฉพาะความรักระหว่างหนุ่มสาว คือถ้าเราดูโลกทั่วไปสังคมทั่วไปก็จะเห็นความรักหลายแบบ เช่น ถ้าอย่างตะวันตกหน่อยก็อย่างเช่นการเป็นแฟน การอยู่ด้วยกันอย่างเสรี แต่ในอิสลามความรักระหว่างหนุ่มสาวจะมีลิมิต เราไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้ก่อนที่เราจะไปสู่การแต่งงาน ฉะนั้น วิธีการของมุสลิมคือ เราก็ต้องคิดว่า เราจะทำให้คนที่เราชอบหรือรักนั้น พัฒนาไปสู่ขั้นตอนของการเป็นความรักที่แท้จริงนั่นคือการแต่งงานได้อย่างไร”

“คนทุกคนมันมีต้นทุนในความรักของตัวเอง หมายความว่าความรักของเค้าในอนาคตที่จะเป็นความรักที่โรแมนติค เป็นความรักที่ดี ความรักที่มีความสุข มันมีต้นทุนอยู่ ซึ่งต้นทุนนี้มันจะหมดไปเรื่อยๆ ถ้าเราใช้โดยที่เราไม่เข้าไปสู่แบบแผนที่ชัดเจนเสียที ในขณะเดียวกันผมก็คิดว่าถ้าหากเราสามารถที่จะเก็บต้นทุนนี้ไว้ให้ได้เยอะๆ แล้วเอาไปใช้หลังแต่งงาน เราจะพบว่ามันคือความรักมันคือความโรแมนติคที่แท้จริง มันคือการสวีทที่แท้จริง ไม่ต้องหลบใคร ไม่ต้องอายใคร ซ้ำไปกว่านั้น ในมุมมองของอิสลามสิ่งที่เป็นความโรแมนติคระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องที่ดีและได้บุญด้วย” – อัซฮาร์

ด้าน อ.อามีน ได้อธิบายถึงกรอบวิธีคิด และกระบวนการขั้นตอนที่จะนำไปสู่การมีชีวิตคู่ตามแนวทางอิสลามที่ได้ให้ความสำคัญมากกว่าแค่เรื่องราวของคนสองคน “การที่คนสองคนจะมาใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่รัก จุดเริ่มต้นมันไม่ได้มาจากการที่คนสองคนต้องรู้จักกันแล้วก็อยู่ด้วยกันก่อน แต่มันมาจากการที่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองของทั้งสองจะต้องรับรู้และต้องรู้เห็นความเป็นไปของคนทั้งสอง

จนกระทั่งถึงวันที่เค้าตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เราจะเห็นว่าต้องมีผู้ปกครองฝ่ายหญิง มีพยานที่รับรู้ในการที่คนสองคนจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน มีผู้ที่ทำหน้าที่ให้การอบรมก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่การใช้ชีวิตคู่ เราจะเห็นกระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการทางสังคมที่มันไมได้เฉพาะคนสองคน แต่มันเป็นภาคสังคม เพราะว่าอิสลามได้ให้ความสำคัญกับชีวิตคู่ในบรรยากาศของครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด

ถ้าเปรียบสังคมเป็นร่างกาย ครอบครัวมันเหมือนหัวใจ เพราะถ้าหากทุกครอบครัวเป็นครอบครัวที่ดีอยู่บนฐานของศาสนาคุณธรรมและจริยธรรมที่อิสลามได้บอกไว้ สังคมนั้นก็จะมีสมาชิกของสังคมที่ดีที่มีคุณภาพ”

“ถ้าเราจะมานั่งอยู่กันก่อนแต่งหรือมานั่งทดลองใช้ระบบชีวิตแบบนี้มันดูเสียเกียรติ์ในสิ่งที่พระเจ้าให้เรามา” ซัลมา แสดงความเห็นในฐานะผู้หญิงที่มีเกียติยิ่ง ณ สายตาพระเจ้า และตั้งคำถามในฐานะแม่ของลูกไว้ชวนคิดว่า “เรากำลังลดเกียรติของเราเองให้กลายเป็นผู้หญิงที่แบบว่าใครก็ไม่รู้เดี๋ยวนอนกับเค้า เดี๋ยวนอนกับเค้า  แล้ววันหนึ่งที่เราไปมีลูก เราจะตอบคำถามลูกยังงัย แม่นอนกับกี่คนมาแล้ว แม่อยู่กับเค้าก่อนแล้วแม่ก็เลิก แม่ทดลองไปเรื่อยๆ เราจะทดลองไปเรื่อยๆ หรอ แม่ผ่านการทดลองแบบนี้มา แม่ทำได้ยังไง”

“คนทุกคนมันมีต้นทุนในความรักของตัวเอง” อัซฮาร์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมในกรณีการอยู่กินกันก่อนแต่ง  “หมายความว่าความรักของเค้าในอนาคตที่จะเป็นความรักที่โรแมนติค เป็นความรักที่ดี ความรักที่มีความสุข มันมีต้นทุนอยู่ ซึ่งต้นทุนนี้มันจะหมดไปเรื่อยๆ ถ้าเราใช้โดยที่เราไม่เข้าไปสู่แบบแผนที่ชัดเจนเสียที ในขณะเดียวกันผมก็คิดว่าถ้าหากเราสามารถที่จะเก็บต้นทุนนี้ไว้ให้ได้เยอะๆ แล้วเอาไปใช้หลังแต่งงาน เราจะพบว่ามันคือความรักมันคือความโรแมนติคที่แท้จริง มันคือการสวีทที่แท้จริง ไม่ต้องหลบใคร ไม่ต้องอายใคร ซ้ำไปกว่านั้น ในมุมมองของอิสลามสิ่งที่เป็นความโรแมนติคระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องที่ดีและได้บุญด้วย”

 

เรียน / รู้ / รัก 

“ทฤษฏีความรักในปัจจุบันเป็นทฤษฏีความรักที่สนองตอบอารมณ์ พูดถึงความรักในมิติของการตอบสนองความอยาก แล้วก็หยิบยกเอาแต่เฉพาะเรื่องที่มันงดงามที่มันสวยงามมาเป็นประเด็นว่านี่แหละคือสิ่งที่เราจะต้องแสดงออก ซึ่งแบบนี้มันผิดไปจากจริยธรรมคุณธรรมที่พึ่งมี มันผิดไปจากคำสอนของศาสนาที่มันควรจะเป็น” อ.อามีน วิพากษ์กรอบความคิดที่มีต่อความรักของผู้คนในยุคปัจจุบัน “พอมันเป็นอย่างนี้ทุกคนก็แสดงออกซึ่งความรัก จนกระทั่งเป็นการแสดงออกที่ขาดยางอายด้วยซ้ำไป แล้วมันก็ทำให้สิ่งที่มันเป็นศีลธรรมเป็นคุณธรรมเป็นจริยธรรมถูกมองเป็นเรื่องล้าหลังตกยุค เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอามาใช้ได้แล้วในยุคปัจจุบัน”

“ผมว่าเรื่องความรักเราไม่ได้เรียนกับอิสลามแต่เราเรียนกับดารานักแสดง เราเรียนกับนิยาย เราเรียนกับเรื่องสั้นมากกว่า ถ้าหากเราลองกลับไปดูอัลกรุอานบ้างเรากลับไปดูประวัติศาสตร์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ขอศานติจงมีแด่ท่าน) บ้าง บางทีเราอาจจะพบกับมุมมองใหม่ที่เกี่ยวข้องกับความรัก ซึ่งผมว่ามันเป็นอะไรที่เพียงพอแล้ว” – ซุฟอัม กล่าว

Love-Maryam

“เพราะฉะนั้นสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นไม่ว่าจะเป็นภาพจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค ซึ่งเสมือนจริงเหลือเกินเดี๋ยวนี้ ทั้งภาพและเสียง หรือว่าจะเป็นละครภาพยนตร์ แล้วก็พวกแฟชั่นดาราที่นำเสนอรูปแบบต่างๆ เป็นบุคคลที่วัยรุ่นกำลังมองหาว่าฉันนี่จะเป็นใครดี เป็นแบบไหนดี แล้วเค้าก็จะเลียนแบบเสื้อผ้าหน้าผมลีลาชีวิตแบบนั้น มีอิทธิพลให้เค้าซึมซับไปโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” – อ.มาเรียม อธิบายถึงพฤติกรรมเลียนแบบในช่วงวัยรุ่น และให้ข้อมูลที่น่าเป็นห่วงเพิ่มเติม “ในปัจจุบันนักเรียนที่ตั้งครรภ์ระหว่างเรียนแต่ชั้น ป.6 ม.1 ม.2 ม.3 เพิ่มจำนวนมาขึ้นเรื่อยๆ มีวิธีการที่จะดึงให้เยาวชนวัยรุ่นอยู่กับครอบครัว เพื่อที่เราจะเติมเต็มสิ่งดีๆ แล้วก็ไปทัดทาน คัดค้าน ขัดเกลาใจเค้า ให้ได้อดทน ไม่ตามเค้าจนเกินความเป็นจริงหรือว่าเกินข้อปฏิบัติของอิสลาม”

“เราปล่อยให้เด็กเสพสิ่งที่ไม่ถูกต้องในเรื่องความรักไปในปริมาณมากๆ โดยที่เค้าไม่มีข้อเปรียบเทียบเลยว่าสิ่งที่ถูกต้องเป็นแบบไหน” อ.อามีน เหมเสริม แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ของเยาวชนคนหนุ่มสาวในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยตัวอย่างของความรักที่สวนทางกับหลักจริยธรรมและศาสนา “ทฤษฏีของความรักต้องไปแย่งเค้ามาก็ไม่ผิดเพราะฉันรัก ฉันจะไปละเมิดสิทธิของคนอื่นก็ไม่เป็นไรเพราะนี่คือการแสดงออกซึ่งความรัก ฉันจะทำในสิ่งที่ผิดต่อจริยธรรมและศีลธรรมก็ไม่เป็นไรเพราะนี่คือความรัก ไอ้ทฤษฏีเหล่านี้มันเป็นทฤษฏีที่ผิด แต่มันถูกกระตุ้นมันถูกส่งเสริม แต่ในทางกลับกันความถูกต้องนี่มันไม่ถูกเสนอ”

“ผมอยากจะบอกคนหนุ่มสาวของเรา วัยรุ่นของเราให้เรียนรู้ความรักก่อนที่จะมีความรัก ให้เรียนให้จริงให้จังให้รู้จักความรักอย่างถูกต้องว่า ที่จริงแล้วความรักมันคืออะไร ไม่ใช่ทำไปก่อนแล้ว มีส่วนร่วมไปก่อนแล้ว โดยที่เราไม่ได้เรียนรู้เลยไม่ได้อ่านเกี่ยวกับความรักที่อิสลามพูดถึงเลยแม้แต่น้อย” – ซุฟอัม อุษมาน กล่าวทิ้งท้าย

Love-Hady

[bws_related_posts]

 

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดอย่างไร ?

About author View all posts Author website

Halal Life

Halal Life สื่อออนไลน์ที่นำเสนอแนวคิด และองค์ความรู้ที่ฮาลาล ผ่านเรื่องราว ผ่านมุมมอง และผ่านประสบการณ์ของหลากหลายผู้คน เพื่อเชื่อมโยงผู้คนที่ใช้ชีวิตในแบบฮาลาลเข้าไว้ด้วยกัน