ผมทั้งทึ่ง ทั้งประหลาดใจและสะเทือนใจ หลากหลายอารมณ์อย่างบอกไม่ถูกทุกครั้ง เมื่อได้อ่านเรื่องราวของการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ของบรรดาเศาะฮาบะฮฺที่มีให้ระหว่างกัน ผมคิดว่าทุกคนมองเห็นโศกนาฏกรรมในช่วงสั้นๆ ของความขัดแย้งระหว่างเศาะฮาบะฮฺ แต่น้อยคนนักที่มองเห็นความยิ่งใหญ่ของพวกเขา
ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาคือ การให้อภัยกัน การรู้จักว่าอะไรคือผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของอิสลาม และอะไรคือสถานการณ์ที่ยากต่อการควบคุม ….
วันนี้ผมไม่ได้มาวิเคราะห์เบื้องหลังความโกลาหลในบางช่วงในยุคของเศาะฮาบะฮฺ ผมยอมรับว่ามุมมองผมในเรื่องนี้แตกต่างมากกับการถกอภิปรายระหว่างกลุ่มแนวคิดต่าง ๆ แต่ผมกำลังบอกกับพวกเราทุกคนว่า ความไม่พึงพอใจและความขัดแย้งเป็นวิถีปกติของมนุษย์ แต่การอภัยได้ทำให้แยกออกให้เห็นว่าแต่ละคนได้เลือกจะยุติมันเช่นไรในบั้นปลาย …
ผมยอมรับจริง ๆ ว่าตลอดชีวิตของคนเราต้องพานพบกับความขัดแย้ง และการปะทุของอารมณ์หลากหลาย จนเกือบจะกลายเป็นคนสูญเสียการควบคุมตัวเอง และบางครั้งเกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจ …
ห้วงอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้ง ได้ชักนำไปสู่สถานการณ์ที่หวานอมขมกลืนอยู่บ่อยๆ บางครั้งเกิดเรื่องขึ้นจนกลายเป็นความชุลมุนวุ่นวาย จนไม่รู้ใครถูกใครผิด แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเราถูกหรือผิดกันแน่ หรือจะผิดกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งพยายามเคลียร์ยิ่งพบปัญหาเพิ่มมากยิ่งขึ้น…
เรื่องราวของนบียูซุฟและพี่น้องของท่าน รวมทั้งระหว่างท่านกับภรรยาของอะซีซในอัล-กุรอาน อาจทำให้นักวิชาการบางคนยากจะเข้าใจ แต่คุณค่าอันมหาศาลของมันอยู่ที่การบอกเล่าชีวิตจริงของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ … ความรัก ความอิจฉา การล่อลวง และการทำร้ายกัน แต่ความจริงที่ซับซ้อนเหล่านี้ยังมีความเมตตา ความเอื้ออาทร ความอดทนอดกลั้น และการให้อภัยกัน … เป็นบทเรียนที่สวยงามเหลือเกินสำหรับมนุษย์อย่างเรา
พวกเราทั้งหลายต่างก็หนีไม่พ้นสภาพที่ยากจะกล้ำกลืนเช่นนี้ บางวันเราน้อยใจภริยา บางวันเราโกรธลูกๆ บางวันเราเกลียดขี้หน้าคนบางคน …คำถามที่สำคัญตลอดช่วงเวลาของคนเราก็คือ เรามีวิธีการจัดการบริหารสถานการณ์เหล่านี้อย่างไรต่างหาก
หากเราไม่มอง “คน” ในมุมมองเช่นนี้ กลับมอง “คน” ในมุมมองที่ประหนึ่งดัง “เทพ” หรือ “มาร” มากเกินไป ทำให้เราต้องสร้างทฤษฎีตีความประวัติศาสตร์กันยกใหญ่ เมื่อพยายามจะทำความเข้าใจความขัดแย้งระหว่างผู้คนในยุคแรก
ความขัดแย้งเหล่านั้นสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก หากเรามองความจริงของชีวิตมนุษย์ที่มักตกอยู่ในความโน้มเอียงต่างๆ ผมถึงบอกว่า พวกเราเองที่รักชอบพอกันในขณะนี้ แต่ถ้าตกอยู่ในเหตุการณ์ช่วงที่ท่านเคาะลีฟะฮฺอุษมานถูกสังหาร คนที่อยู่ซีเรียก็คงต้องตามท่านมุอาวียะฮฺ คนที่อยู่มะดีนะฮฺก็ต้องถามต่ออีกว่า ใกล้ชิดและวางใจใคร? ระหว่างฝ่ายท่านอลี และฝ่ายท่านหญิงอาอิชะฮฺ … และบางคนที่เจอโจทย์ยากมากๆ ก็จะไม่ขออยู่ฝ่ายใดเลยก็เป็นได้
ชีวิตมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้เอง นักสังเกตุกาณ์ต่อปรากฏการณ์ของอัล-กุรอาน อย่างอุสตาซ ซัยยิด กุฏบฺ จึงมองเห็นว่า อัล-กุรอานไม่ได้สอนเพียงแค่ “ความอดทน” แต่ยังย้ำให้มี “การให้อภัย” ต่อจากความอดทนเสมอ เพราะการอดทนที่ปราศจากการให้อภัยย่อมนำไปสู่ความกดดันภายในและวันหนึ่งก็จะระเบิดออกมาภายนอก
ผมเขียนบทความนี้ก่อนวันอีด 30 ธ.ค. 2549 หรือ 31 ธ.ค ของอีกหลาย ๆ คน(พี่น้องบางคนในบางประเทศก็อาจล่วงไปถึงวันที่ 1 ม.ค. 2550) ผมไม่สนใจสักนิดเดียวว่าพี่น้องในแต่ละพื้นที่จะอีดวันไหน เพราะเอกภาพของผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรตรงกันเป๊ะๆ แต่มันอยู่ที่แต่ละคนมีหลักการที่ถูกต้องรองรับ(แม้อาจจะตีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง) และรู้จักรักษาความเป็นพี่น้องเอาไว้ …
แต่สิ่งที่ผมรำลึกได้ในวันอีดทุกๆ ครั้ง ก็คือการฟื้นฟูสังคมแห่งการอภัยระหว่างกัน ผมรู้สึกดีที่ไปไหน ได้เห็นข้อความภาษามลายูปนอาหรับว่า Maaf Zahir dan Batin “ขออภัยทั้งภายนอกและภายใน” ….
การอภัยมันต้องครอบคลุมกว้างทั้งภายนอกที่รับรู้ได้และการอภัยในอารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ เพราะบางสถานการณ์มันยากยิ่งกว่าโจทย์แคลคูลัส มันต้องยุติด้วยการให้อภัยกันเท่านั้น
ผมก็ถือโอกาสนี้ขออภัยต่อพี่น้องหลายท่านๆ ที่ผมได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดไป ทั้งที่ปรากฏชัด และทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือถูกแปรเจตนาผิดไป …ขออภัยโดยถ้วนหน้า
เรื่องโดย : อัล อัค